เปิดแผนกระทรวงพลังงาน ลุย 7 โครงการด้านพลังงาน บูมเศรษฐกิจ-จ้างงาน 7 แสนล้าน ส่วนค่าไฟปี’69 ดีสุดคือลดอีก-แย่สุดคือตรึงราคาต่อ
แม้ระยะเวลาเพียง 4 เดือน ที่รัฐบาลชุดนี้จะอยู่บริหารแต่..หลายกระทรวงก็เดินหน้าเปิดแผนงาน และนโยบายกันอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะกระทรวงพลังงาน ที่นำทัพโดย นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รมว.พลังงาน ช่วง 4 เดือนนับจากนี้ไปจะเร่งผลักดันนโยบาย “Quick Big Win” ด้านพลังงานเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ทั้งด้านเศรษฐกิจ การส่งเสริมการลงทุน การผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ และการส่งเสริมบทบาท
ภาคเอกชนในการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพื่อสร้างรายได้ ลดรายจ่าย ฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยจะเร่งรัดให้เกิดการลงทุนด้านพลังงานใหม่ 7 โครงการ กระตุ้นเศรษฐกิจได้กว่า 700,000 ล้านบาท เกิดการสร้างงานกว่า 16,000 ตำแหน่ง ลดการปล่อยคาร์บอนกว่า 10 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี สู่เป้าหมาย Net Zero เร็วขึ้นในปี 2593 จากปี 2608 โดย 7 โครงการ ได้แก่
1.โครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร กว่า 1,200 ระบบ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 7 แสนไร่ทั่วประเทศ คาดว่าจะเกิดเม็ดเงินผ่านการลงทุนกว่า 12,500 ล้านบาท ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้ 87.5 เมกะวัตต์ และสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 0.6 ล้านตันต่อปี
2.โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน เป้าหมายกำลังการผลิต 1,500 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนได้กว่า 30,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงานกว่า 1,600 ตำแหน่ง และยังสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 0.8 ล้านตันต่อปี โดยจะสามารถประกาศรับซื้อไฟฟ้าได้ภายในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้
3.การลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ติดตั้งโซลาร์เซลล์ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วม 90,000 ครัวเรือน กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุน ได้กว่า 20,250 ล้านบาท ลดการใช้ไฟฟ้าได้ 585 ล้านหน่วยต่อปี และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 2.8 แสนตันต่อปี
4.การผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ลอยน้ำใน 3 เขื่อนหลักของ กฟผ. (เขื่อนภูมิพล, เขื่อนวชิราลงกรณ และเขื่อนศรีนครินทร์) ซึ่งมีต้นทุนต่ำ กำลังการผลิตรวม 1,638 เมกะวัตต์ เกิดการลงทุนกว่า 53,000 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 0.8 ล้านตันต่อปี
นอกจากนี้ารพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบพลังงานรองรับภาคอุตสาหกรรมมี 3 เรื่อง
1.เร่งดำเนินการโครงการสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสะอาดตรงหรือ Direct PPA 2,000 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเสนอ กบง.ได้ภายในเดือน พ.ย.68 ซึ่งคาดจะเกิดเม็ดเงินลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 65,000 ล้านบาท ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
2.การพัฒนาระบบไฟฟ้ารองรับอุตสาหกรรมเขตภาคตะวันออก (EEC) คาดว่าจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้ากว่า 800 เมกะวัตต์ รองรับธุรกิจ Data Center 16 ราย รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรมผ่านการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์ผ่านกลไกกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
และ 3.การเริ่มโครงการพัฒนาการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มกักเก็บก๊าซคาร์บอนฯได้ภายในปี 77 และระหว่างปี 2577 ถึงปี 2607 (30 ปี) จะสามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนฯ ได้ 6.4 ล้านตันต่อปี
ส่วนเรื่องราคาค่าไฟฟ้าปี2569 หรือค่าไฟงวดเดือนม.ค.-เม.ย..2569 ยืนยันไม่สูงกว่างวดปัจจุบันที่ประชาชนจ่ายอยู่ที่ 3.94 บาทต่อหน่วย แต่จะลดค่าไฟได้มากกว่านี้หรือไม่ คงต้องหาแนวทาง ซึ่งก็พยายามจะหาโอกาสในการลดลงกว่านี้ และต้องติดตามดูสถานการณ์โลก และเงื่อนไขสัญญาต่างๆ ด้านราคาน้ำมันดีเซล กระทรวงพลังงานยืนยันตรึงอยู่ในเพดานไม่เกิน 32 บาทต่อลิตร รวมถึงเบนซินตลอดช่วงที่ยังทำงานอยู่ในตำแหน่งนี้ หากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ก็พยายามจะหาวิธีปรับลดลงอีก ขอให้มั่นใจได้ว่าเงินที่รัฐบาลใส่ไปในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ จะไม่ถูกดูดกลับด้วยค่าเชื้อเพลิงพลังงานแน่นอน