เปิดวิสัยทัศน์ประเด็น 4 กับดักรั้งเศรษฐกิจไทย และวิธีแก้ปัญหา จากมุมมอง เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และรมว.คลัง
ในเวทีเสวนาทิศทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญ "Thailand Economic Outlook 2026" นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้นำเสนอภาพการวินิจฉัยเศรษฐกิจไทย โดยเปรียบเปรยประเทศที่เคยเป็น "เสือเศรษฐกิจ" แห่งเอเชียว่า บัดนี้กลายเป็น "ผู้ป่วย" ที่ต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วนและตรงจุด วิสัยทัศน์ของเขาไม่ได้เป็นเพียงการเยียวยาระยะสั้น แต่คือการวางรากฐานเพื่อ "ออกจากกับดัก" ที่ฉุดรั้งการเติบโตของประเทศมานานหลาย 10 ปี
จากเวทีครบรอบ 38 ปีของ "กรุงเทพธุรกิจ" ชี้ให้เห็นถึงแนวคิดของนายเอกนิติ ที่แบ่งยุทธศาสตร์ออกเป็นสองส่วนอย่างชัดเจน คือ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ภายใต้กรอบเวลาที่จำกัด และ การผ่าตัดเชิงโครงสร้าง เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ยอมรับถึงข้อจำกัดด้านเวลาของรัฐบาลที่มีเพียงประมาณ 4 เดือน แต่ยืนยันว่า "ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรไม่ได้" กลยุทธ์ที่เรียกว่า "Quick Big Win" จึงถูกออกแบบมาเพื่ออัดฉีดเศรษฐกิจให้ฟื้นจาก "หล่ม" โดยมีหัวใจสำคัญ 3 ประการคือ ทำเร็ว ทำทันที และกระจายตัว
มาตรการหลักคือโครงการ "คนละครึ่งพลัส" ซึ่งไม่ใช่แค่การกระตุ้นการใช้จ่ายแบบเดิมๆ แต่เป็นการผสมผสานระหว่างการลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชนผ่านการร่วมจ่ายของรัฐบาล และการ "ติดอาวุธทางปัญญา" ไปพร้อมกัน
"คนไทยเข้าโซเชียลเยอะ แต่ไม่ได้เข้ามาหารายได้" นายเอกนิติกล่าว "เราจะใส่หลักสูตรทักษะระยะสั้นเข้าไปในแอปพลิเคชันถุงเงิน"
นี่คือมิติใหม่ของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มองว่าการให้เงินเพียงอย่างเดียวไม่สามารถสร้างความยั่งยืนได้ แต่การมอบทักษะ (Reskill) ควบคู่ไปด้วย จะเป็นการสร้าง "ผลระยะยาว" ที่แท้จริง นอกจากนี้ ยังมีมาตรการเสริมอย่างการชำระหนี้ให้เกษตรกรผ่าน ธ.ก.ส. และการดูแลผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อให้แน่ใจว่าเม็ดเงินจะกระจายไปถึงกลุ่มคนที่ขาดกำลังซื้อมากที่สุด
แกนหลักในวิสัยทัศน์ของนายเอกนิติ คือการวิเคราะห์ถึง "โรค" ที่แท้จริงของเศรษฐกิจไทย ซึ่งเขาได้ระบุถึง 4 กับดักสำคัญ ที่ทำให้การเติบโตหลังวิกฤตปี 2540 ชะลอตัวลงอย่างน่าใจหาย
1.กับดักด้านการลงทุน (The Investment Trap): ตัวเลขที่น่าตกใจคือ สัดส่วนการลงทุนของรัฐและเอกชนเคยสูงถึง 40% ของ GDP ก่อนปี 2540 แต่ปัจจุบันกลับลดฮวบลงมาเหลือเพียง 20% "ไม่มีการลงทุนใหม่ จะเอาที่ไหนไปโต" นายเอกนิติตั้งคำถามเชิงท้าทาย
2. กับดักด้านประชากร (The Demographic Trap): ประเทศไทยกำลังก้าวสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว โดยประชากร 1 ใน 5 มีอายุเกิน 60 ปี ซึ่งหมายถึงรายได้ที่หายไปจากระบบ ขณะที่คนรุ่นใหม่กลับมีทักษะไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานยุคใหม่ ก่อให้เกิดปัญหา "Skills Mismatch" ที่รุนแรง
3.กับดักด้านเทคโนโลยี (The Technology Trap): แม้คนไทยจะใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในชีวิตประจำวันอย่างแพร่หลาย แต่กลับไม่สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ทันโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของ AI
4. กับดักด้านหนี้สิน (The Debt Trap): หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ได้กัดกินกำลังซื้อของประชาชนระดับฐานรากจนหมดสิ้น ทำให้กลไกการบริโภคภายในประเทศไม่สามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ และกลายเป็นความเสี่ยงทางการเงินที่มาจากระดับ "จุลภาค"
แม้เวลา 4 เดือนจะไม่สามารถแก้ทุกปัญหาได้ แต่นายเอกนิติเชื่อว่าจะสามารถ "สร้างแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์" ได้ โดยได้วางแนวทางการแก้ปัญหาแต่ละกับดักไว้อย่างชัดเจน
แก้กับดักการลงทุน: ปรับยุทธศาสตร์ของ BOI ใหม่ทั้งหมด จากเดิมที่เน้นอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ไปสู่การดึงดูด การลงทุนแนวใหม่ เช่น Data Center, เซมิคอนดักเตอร์, เศรษฐกิจ BCG ที่ต่อยอดจากฐานการเกษตรของประเทศไปสู่ Smart Farming และการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ไปสู่ ห่วงโซ่อุปทานของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เช่น มอเตอร์ และเกียร์
แก้กับดักด้านคน: มุ่งเน้นการ "สร้างคนให้ตรงกับความต้องการของตลาด" ผ่านการ Reskill และ Upskill อย่างจริงจัง โดยใช้กองทุนเพิ่มทักษะ 1 หมื่นล้านบาท และจัดอบรมระยะสั้นในรูปแบบ Bootcamp ที่เข้มข้นและใช้ได้จริง
แก้กับดักเทคโนโลยี: ให้ BOI เป็นหัวหอกในการสนับสนุน การวิจัยและพัฒนา (R&D) อย่างเต็มที่ โดยจะมอบเงินทุนสนับสนุน (Grant) สูงถึง 50% เพื่อจูงใจให้เกิดนวัตกรรมในประเทศ
แก้กับดักหนี้สิน:
หนี้ครัวเรือน: จัดตั้งกองทุน 26,000 ล้านบาท เพื่อเข้า ซื้อหนี้เสียและปรับโครงสร้างหนี้ ให้กับลูกหนี้รายย่อย เป็นการ "ดึงเขาออกมา" จากวงจรหนี้
หนี้ SMEs: เติมสภาพคล่องและผลักดันให้ SMEs เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain ของธุรกิจขนาดใหญ่
หนี้สาธารณะ: ยกระดับวินัยการคลังและสร้างความโปร่งใส โดยยืนยันว่าโครงการ "คนละครึ่งพลัส" มูลค่า 44,000 ล้านบาท มาจากงบกลาง ไม่ได้เป็นการก่อหนี้เพิ่ม
นี่คือการ"มองสั้น แต่คิดยาว" ที่ใช้มาตรการกระตุ้นเร่งด่วนเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างไปพร้อมกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนรากฐานที่สำคัญคือ วินัยทางการเงินและการคลังที่เข้มแข็ง เพื่อให้แน่ใจว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในครั้งนี้ จะเป็นการกลับมาอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนอย่างแท้จริง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง