svasdssvasds

หรือคุณกำลัง 'ล่าแม่มดออนไลน์' กันอยู่ กรณีอังคณา นีละไพจิตร

หรือคุณกำลัง 'ล่าแม่มดออนไลน์' กันอยู่ กรณีอังคณา นีละไพจิตร

เมื่อการแสดงความเห็นต่างกลายเป็นภัย การล่าแม่มดออนไลน์จึงเริ่มต้นขึ้น และเรื่องราวของ อังคณา นีละไพจิตร ก็สะท้อนให้เห็นว่าโซเชียลมีเดียกลายเป็นศาลเตี้ยออนไลน์ ที่ตัดสินคนอย่างโหดร้าย

“คิดหรอว่าจะเดินตลาดได้ ลองไปเดิน ดูซิ ทุเรียนยังมีขายนะ”

“ไล่ออกจากประเทศเลยค่ะ ไปอยู่เขมรเถอะค่ะ คนแบบนี้หนักแผ่นดินเรา”

“หนักแผ่นดิน”

เมื่อคนส่วนน้อยมีความเห็นไม่ตรงใจ หรือพูดในสิ่งที่มวลชนหมู่มากไม่อยากได้ยิน บุคคลนั้นจะกลายเป็นแม่มดทันที และในประวัติศาสตร์มีให้เห็นแล้วว่ากระบวนที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้นคือการ ‘ล่าแม่มด’ (witch hunting) เมื่อผ่านเวลา การล่าแม่มดในประวัติศาสตร์ก็มีพลวัฒน์มาเป็นการล่าแม่มดออนไลน์แทน

นิยามแบบคร่าว ๆ ของการล่าแม่มดออนไลน์คือการที่ กลุ่มคนในโลกออนไลน์ ที่ใช้โซเชียลมีเดียรุมประณาม และด่าทอด้วยคำหยาบคายต่อบุคคลที่มีความคิดขัดกับแนวคิดที่ตนยึดถือ โดยตัดสินกันเองตามความรู้สึก และเมื่อเกิดการล่าแม่มดออนไลน์แล้ว ย่อมนำไปสู่สถาบันใหม่ที่เรียกว่า ‘ศาลเตี้ยออนไลน์’ หรือ kangaroo court online

‘ล่าแม่มดออนไลน์’ คำนี้มีนิยามยังไงกันแน่ แล้วความรุนแรงที่คนเห็นต่างต้องพบเจอและแบกรับน่าหวาดหวั่นแค่ไหน รวมถึงบทบาทของสื่อมวลชนที่ก็เข้าไปมีบทบาทในการนำเสนอข่าวสารในลักษณะปลุกปลั่นสร้างอารมณ์เกลียดชัง ติดตามได้ที่บทความนี้

การล่าแม่มดในประวัติศาสตร์

การล่าแม่มด หรือ witch hunting มีมานานมากแล้ว แต่ที่ถูกบันทึกกันอย่างมากคือตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 14-18 (ในยุโรป) เวลาพูดถึงการล่าแม่มด โดยมากแล้วจะเกี่ยวโยงอยู่กับเพศหญิง เพศหญิงจะถูกนำความไม่สมบูรณ์ในชีวิตมากล่าวหาและประณาม

ซึ่งความไม่สมบูรณ์ที่ว่านี้มีหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นทางกาย เช่น คนที่มีใฝ ปาน หรือจุดด่างดำบนร่างกาย ก็จะถูกโยงไปว่าเป็นสัญลักษณ์ของปีศาจ เป็นหญิงแพศยา ถูกสังคมกีดกัน กลายเป็นอื่น (otherness) ของสังคม

รวมถึงมิติเรื่องเพศ-ส่วนตัว เช่น ผู้หญิงที่หย่าร้าง ผู้หญิงทำแท้ง เมื่อใดก็ตามที่ผู้หญิงเหล่านี้ถูกตราหน้าโดยมวลชนแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือ ตาย จะด้วยการแขวนคอ เผา หรือวิธีใดก็ตาม โดยที่เธอเหล่านี้ไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้แก้ต่างให้ตัวเองด้วยซ้ำ

หรือคุณกำลัง \'ล่าแม่มดออนไลน์\' กันอยู่ กรณีอังคณา นีละไพจิตร

 

การลงโทษทางสังคมในโลกออนไลน์ สู่ ‘ล่าแม่มดออนไลน์’

งานวิจัยการสื่อสารในการล่าแม่มดของจักรพันธ์ ชูสง (2562) ซึ่งอ้างอิงพระบาท นามเมือง (2560) ฉายให้เห็นว่าเวลาพูดถึงลงโทษทางสังคมในโลกออนไลน์สถาปนารวมหมู่กันเป็นศาลเตี้ยในโลกออนไลน์ แล้วใช้ความคิดเห็นหรือแนวคิดที่ยึดถือติดสินการกระทำผิดของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

อันจะเห็นว่ามีเพจมากมายในเฟซบุ๊กที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยร้องทุกข์ให้กับประชาชน แล้วเรื่องเหล่านั้นก็จะถูกนำมาขยายต่อในโลกออนไลน์ เพื่อตามหาความเป็นธรรมให้กับบุคคลร้องทุกข์ ประหนึ่งเป็นผู้พิพากษาเสียเอง ดังนั้น การลงโทษทางสังคมในโลกออนไลน์จึงเป็นเหมือนเครื่องมือให้กับคนด้อยโอกาส หรือผู้ที่ไม่มีสิทธิมีเสียงในสังคม ใช้เรียกร้องความยุติธรรม

กลับกัน จากที่การลงโทษทางสังคมเป็นการรับเรื่องจากผู้ร้องทุกข์ เพื่อมาตามหาความยุติธรรม แต่เมื่อเกิดกรณีที่ละเอียดอ่อนมากเช่นกรณีชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีหลายปัจจัยประกอบกัน และเป็นเรื่องที่รัฐกับรัฐต้องหาทางออกร่วมกัน แต่เมื่อผู้มีอิทธิพลในโซเชียลมีเดียได้รับฟังความคิดของผู้ที่เห็นต่างไปจากตัวเอง แล้วนำมาแขวนให้ผู้ติดตามรุมประณาม สิ่งนี้ได้พัฒนากลายเป็นการล่าแม่มดออนไลน์ไปแล้วเรียบร้อย

หรือคุณกำลัง \'ล่าแม่มดออนไลน์\' กันอยู่ กรณีอังคณา นีละไพจิตร

 

ความแตกต่างระหว่างการ ‘ล่าแม่มดในประวัติศาสตร์’ กับ ‘ล่าแม่มดในโลกออนไลน์’

ล่าแม่มดในประวัติศาสตร์

  • ผู้ถูกกล่าวหาเป็นแม่มด-เกือบทั้งหมดคือผู้หญิง
  • ผู้ล่า-คนในหมู่บ้าน หรือกลุ่มคนที่มีแนวคิดแบบเดียวกัน
  • ข้อกล่าวหา-พฤติกรรมที่ผิดธรรมชาติ
  • การลงโทษ-ใช้ความรุนแรง ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ ประหาร แขวนคอ ฆ่า

 

ล่าแม่มดออนไลน์

  • ผู้ถูกกล่าวหาเป็นแม่มด-บุคคลที่มีแนวคิดผิดไปจากคนหมู่มาก
  • ผู้ล่า-กลุ่มคนที่เห็นพ้องต้องกัน และไม่พอใจคนที่คิดต่าง
  • ข้อกล่าวหา-มีแนวคิดหรือกล่าวในสิ่งที่ไม่ตรงใจคนหมู่มาก
  • การลงโทษ-ประจาน ด่าทอ ทำให้อับอาย คุ้ยประวัติมาแฉ เหยียดหยาม กดความเป็นมนุษย์ ฯลฯ

 

กรณี ‘อังคณา นีละไพจิตร’ ถูกล่าแม่มด (ออนไลน์) ?

กรณีศึกษาของคุณอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา และนักสิทธิมนุษยชน โดยเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2568 เธอได้โพสต์ข่อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีกัน จอมพลัง โดยชี้ว่าการปล่อยให้อินฟลูเอนเซอร์ เข้าไปในพื้นที่สงคราม เพื่อสร้างความหวาดกลัว (เปิดเสียงผี) ถือเป็นความท้าทายของรัฐบาล

หรือคุณกำลัง \'ล่าแม่มดออนไลน์\' กันอยู่ กรณีอังคณา นีละไพจิตร

โดยในโพสต์เดียวกันนั้น เธอได้แชร์เธอได้แชร์หนังสือของประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา ที่ทำหนังสือส่งไปยังข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งระบุว่าเจ้าหน้าที่และพลเรือนในพื้นที่ (เปรยจัน) ได้รับผลกระทบจากเสียง โดยการกระทำดังกล่าวนี้มีเจตนาเพื่อรบกวนและข่มขวัญ ซึ่งการกระทำนี้ไม่มีในสังคมอารยะใด ๆ และขัดแย้งโดยตรงกับหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติ 

อ่านโพสต์นั้นได้ที่นี่ https://www.facebook.com/share/p/1Cv564SYEt/ อย่างไรก็ตาม เมื่อโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ความคิดเห็นก็แตกออกเป็น 2 ฝั่ง ซึ่งเดี๋ยวจะสรุปให้ว่าเธอโดนประณามด้วยประเด็นใดบ้าง

ถัดมาในวันที่ 15 ตุลาคม 2568 กัน จอมพลัง และ ดร.มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ได้ร่วมรายการโหนกระแสของหนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย โดยตอนหนึ่งของรายการหนุ่มกรรชัยกล่าวว่า “คุณอังคณา ผมอยากรู้ส่วนตัว กรณีเชฟไทยที่เสียชีวิตที่กัมพูชามันชัดเจนมาก เขาไม่รักษาให้คนไทย อันนั้นคุณเรียกร้องให้เราหรือยัง ผมอยากรู้จากใจ”

ท่อนดังกล่าวถูกนำไปเขียนลงโดยสื่อหลายสำนัก และมีผู้คนเข้ามาคอมเมนท์กันไม่ต่ำกว่าโพสต์ละ 1-2 หมื่นความเห็น และมียอดแชร์อีกหลายพันแชร์ ผลกระทบที่ตามมานั้นมีหลานมิติ หนึ่งในนั้นแน่นอนว่าเธอถูกประณาม ด่าทอด้วยคำหยาบคาย มีการข่มขู่ พัฒนาไปเป็นความเกลียดชัง

“สติไม่อยู่กับตัวแล้ว สว.”

“แค่เห็นหน้าเห็นชื่อก็เกลียดมันค่ะ”

“อัง คะ แมร์ คนดี ศรี เขมร”

หากอยากรู้ว่าคุณอังคณาที่กำลังถูกล่าแม่มดออนไลน์ถูกด่าทอ หรือพ่นความเกลียดชังอย่างไรบ้าง ก็ให้เสิร์จชื่อก็จะเห็น แน่นอนว่าเมื่อรายการดังกล่าวเป็นการฟังความข้างเดียว ไม่มีการนำเสนอแนวคิดของคุณอังคณา รายการจึงถูกตั้งคำถามของจรรยาบรรณและบทบาทของสื่อมวลชน

วันนี้ (16 ตุลาคม 2568) ได้รับทราบถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้น และได้กล่าวผ่านรายการโหนกระแสไว้ดังนี้ “ผมยอมรับว่า เป็นการนำเสนอมุมเดียวจริงๆ ตัวผมเองไม่ได้มีเจตนาให้เป็นแบบนี้ พยายามที่จะติดต่อหา สว.อังคณา หลังจากออกจากรายการ ผมก็โทรไปหาเพื่อนๆ ที่อยู่พรรคประชาชนหลาย ๆ ท่าน ไปคุยว่าอยากจะเรียนเชิญท่านมา ได้พูดอีกมุม แต่คุณอังคณาไม่สะดวก ผมก็เข้าใจท่าน เมื่อวานนี้มีแรงสะท้อนมาหลากหลาย มุมมอง ทั้งแรงติ แรงชม แรงติผมขอรับเอาไว้ กราบขออภัย หลายท่านที่ดูแล้วรู้สึกว่า ทำให้ท่านไม่สบายใจ ต้องขอโทษด้วย”

อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งประเด็นที่ แม่มดอย่างคุณอังคณาถูกลากมาถากถางในสื่อนั่นคือประเด็นเรื่องทนายสมชาย นีละไพจิตร สามีของคุณอังคณาที่ถูกอุ้มหายเมื่อปี 2547 หรือราว 21 ปีที่แล้ว  โดยตอนหนึ่งของรายการ มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข อดีต สส.ประชาธิปัตย์ กล่าวถึงคุณอังคณาว่าดังได้เพราะตามหาศพผัว

แม้การล่าแม่มดออนไลน์จะ (ยัง) ไม่มีการเผา หรือทำร้ายร่างกายกันเช่นในประวัติศาสตร์ แต่จากกรณีของคุณอังคณาก็พอจะรับรู้และเห็นได้แล้วว่าความเกลียดชังที่เกิดขึ้นนั้นน่าหวาดหวั่นแค่ไหน นอกจากเรื่องเห็นต่างแล้ว ยังมีไฟชาตินิยมผสมโรงอยู่ด้วย และเราต้องไม่ลืมว่าผู้ที่สร้างให้คนเห็นต่างกลายเป็นแม่มดนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน-คือผู้ล่าเช่นที่ได้อธิบายไปนั่นเอง

 

ที่มา: การสื่อสารในการล่าแม่มด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related