svasdssvasds

พลังของ 'อินฟลูเอนเซอร์' ส่งผลต่อทิศทางการเมืองได้อย่างไร !?

พลังของ 'อินฟลูเอนเซอร์' ส่งผลต่อทิศทางการเมืองได้อย่างไร !?

อินฟลูเอนเซอร์ไม่ใช่แค่คนขายของอีกต่อไป แต่คือผู้ชี้ทิศทางความคิดและการตัดสินใจของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งรุ่นใหม่ทั่วโลก

SHORT CUT

  • พรรคการเมืองในเยอรมนีเริ่มใช้กลยุทธ์แบบเดียวกับภาคธุรกิจ โดยให้อินฟลูเอนเซอร์ช่วย “สร้างปฏิสัมพันธ์”  และ “ระดมผู้สนับสนุน”  ซึ่งช่วยให้พรรคสามารถสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ข้อเสียคืออินฟลูเอนเซอร์อาจไม่เข้าใจประเด็นเชิงนโยบายลึกพอ และกลัวว่าจะถูกโจมตีทางออนไลน์ ขณะเดียวกันพรรคการเมืองบางส่วนยังลังเลที่จะ “จ่ายค่าจ้าง” เพราะเชื่อว่าการรับเงินอาจทำลายความจริงใจและความน่าเชื่อถือของผู้พูด
  • งานวิจัยชี้ว่า แม้จะมีข้อจำกัด แต่การร่วมมือระหว่างพรรคการเมืองกับอินฟลูเอนเซอร์ได้เปิดแนวทางใหม่ในการ “สื่อสารคุณค่า” มากกว่าการขายนโยบาย ซึ่งอาจกลายเป็นแนวโน้มสำคัญของการเมืองยุคใหม่ทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่มีคนรุ่นใหม่ใช้สื่อออนไลน์เป็นศูนย์กลางของการรับรู้ทางสังคมและการเมือง

 

อินฟลูเอนเซอร์ไม่ใช่แค่คนขายของอีกต่อไป แต่คือผู้ชี้ทิศทางความคิดและการตัดสินใจของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งรุ่นใหม่ทั่วโลก

ทุกวันนี้ “อินฟลูเอนเซอร์” ไม่ได้มีอิทธิพลแค่ต่อการเลือกซื้อรองเท้าหรือครีมกันแดดเท่านั้น แต่ยังเริ่มมีบทบาทในการ “กำหนดทิศทางทางการเมือง” ของผู้ติดตามจำนวนมหาศาลโดยไม่รู้ตัว

 พรรคการเมืองทั่วโลกต่างเริ่มตระหนักว่า การจะชนะใจคนรุ่นใหม่ไม่ได้อยู่ที่การโฆษณาอย่างเป็นทางการอีกต่อไป แต่อยู่ที่ “ใคร” เป็นคนเล่าเรื่องนั้นแทนพวกเขา งานวิจัยชิ้นสำคัญจากมหาวิทยาลัยทือบิงเงิน ประเทศเยอรมนี โดย ศาสตราจารย์นิลส์ เอส. บอร์เชอร์ส (Nils S. Borchers) เผยให้เห็นภาพที่น่าสนใจว่า อินฟลูเอนเซอร์กำลังกลายเป็น “ผู้เล่นคนใหม่” ในสนามเลือกตั้งอย่างเต็มตัว

อินฟลูฯ ทำให้เรื่องยากเป็นเรื่องง่าย !

ผลการศึกษาพบว่าพรรคการเมืองในเยอรมนีตระหนักถึงข้อเท็จจริงสำคัญอย่างหนึ่ง: คนรุ่นใหม่กว่า 70% ใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่าง Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok เป็นแหล่งข้อมูลทางการเมืองหลัก การสื่อสารผ่านสื่อแบบดั้งเดิม เช่น หนังสือพิมพ์หรือโฆษณาทีวี จึงไม่อาจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เหมือนเดิมอีกต่อไป อินฟลูเอนเซอร์ซึ่งมีทั้งความน่าเชื่อถือ ความเป็นกันเอง และพลังในการสร้างกระแส จึงกลายเป็นช่องทางใหม่ที่พรรคการเมืองเริ่มมองเห็นผลประโยชน์

บอร์เชอร์สได้สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารทางการเมือง 25 คนจากหลายพรรคในเยอรมนี เพื่อค้นหาว่า “อินฟลูเอนเซอร์ช่วยหาเสียงได้จริงหรือไม่” คำตอบที่ได้คือ “ใช่” และพวกเขามีบทบาทในสามมิติสำคัญของการรณรงค์เลือกตั้ง ได้แก่ การให้ข้อมูล (informing) การสร้างปฏิสัมพันธ์ (interacting) และการระดมผู้สนับสนุน (mobilizing)

อินฟลูเอนเซอร์สามารถทำให้ประเด็นทางการเมืองที่ซับซ้อนกลายเป็นเรื่องเข้าใจง่าย เหมือนเพื่อนคนหนึ่งมาเล่าเรื่องบ้านเมืองให้ฟังอย่างตรงไปตรงมา พวกเขาเปิดพื้นที่พูดคุยกับผู้ติดตามในแบบที่พรรคการเมืองไม่เคยทำได้มาก่อน และที่สำคัญพวกเขาสามารถปลุกให้ผู้ติดตามออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งจริง

พลังของ \'อินฟลูเอนเซอร์\' ส่งผลต่อทิศทางการเมืองได้อย่างไร !?

อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือนี้ก็เต็มไปด้วยความท้าทาย นักสื่อสารทางการเมืองจำนวนมากยอมรับว่า พวกเขายังลังเลกับแนวคิดนี้ เพราะ “การเมือง” มีความซับซ้อนและมีเดิมพันสูงกว่าการรีวิวสินค้า อินฟลูเอนเซอร์บางคนอาจไม่เข้าใจประเด็นเชิงนโยบายลึกพอ หรือกลัวจะถูกโจมตีจากผู้เห็นต่าง ทำให้หลายคนเลือกจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองโดยตรง พรรคการเมืองเองก็ต้องระมัดระวัง เพราะการจ่ายค่าจ้างอาจทำลายความน่าเชื่อถือของอินฟลูเอนเซอร์ในสายตาผู้ติดตาม หลายพรรคในเยอรมนีจึงเลือกใช้วิธี “ร่วมงานโดยไม่จ่ายเงิน” โดยหวังให้ผู้สร้างคอนเทนต์เหล่านี้เข้าร่วมด้วยอุดมการณ์และความเชื่อทางการเมืองร่วมกันมากกว่าผลตอบแทนทางการเงิน

เสียงของอินฟลูเอนเซอร์ กำหนดนโยบายการเมืองได้ !

ตัวอย่างเหตุการณ์จริงคือ กรณีของ Rezo ยูทูบเบอร์ชื่อดังที่มีผู้ติดตามหลายล้านคน ซึ่งได้เผยแพร่วิดีโอชื่อ “The Destruction of the CDU” ก่อนการเลือกตั้งสหภาพยุโรปปี 2019

ในคลิปดังกล่าว Rezo วิจารณ์นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของพรรคอนุรักษ์นิยม CDU อย่างรุนแรง พร้อมอ้างข้อมูลจากรายงานวิทยาศาสตร์และสื่อหลักเพื่อยืนยันข้อเท็จจริง เนื้อหานี้กลายเป็นไวรัลในเวลาไม่กี่วันและถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในสื่อเยอรมันและยุโรป ผลลัพธ์คือ พรรค CDU ต้องออกมาชี้แจงและเปลี่ยนท่าทีด้านนโยบายสิ่งแวดล้อมในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง เหตุการณ์นี้กลายเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ที่ทำให้ผู้สื่อสารทางการเมืองในเยอรมนีตระหนักว่า อินฟลูเอนเซอร์สามารถ “กำหนดทิศทางการเมือง”  ได้จริง ไม่ต่างจากสื่อกระแสหลัก !

Rezo

ผู้เชี่ยวชาญจากหลายพรรคยืนยันว่ากรณีของ Rezo เป็นแรงบันดาลใจให้พรรคการเมืองเริ่มวางแผนร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์มากขึ้น โดยบางพรรคเริ่มทดลอง “บรีฟเนื้อหา” ให้กับอินฟลูเอนเซอร์ล่วงหน้าก่อนวันเผยแพร่ เพื่อให้ประเด็นที่ต้องการสื่อสอดคล้องกับแคมเปญหาเสียงในสัปดาห์นั้น และสามารถเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความสนใจเฉพาะทาง เช่น ประเด็นสิ่งแวดล้อม สิทธิทางสังคม หรือเทคโนโลยี

พลังใหม่ที่มาพร้อมกับความเสี่ยง

แม้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ประสบการณ์ของเยอรมนีแสดงให้เห็นว่าการใช้ “พลังของอินฟลูเอนเซอร์” อาจกลายเป็นหัวใจสำคัญของการเมืองยุคดิจิทัล ไม่ใช่แค่เพื่อขายนโยบาย แต่เพื่อ “ขายคุณค่าและอุดมการณ์” ให้กับสังคม นักการเมืองหลายคนเริ่มตระหนักว่าการสื่อสารที่มีมนุษยธรรม มีอารมณ์ร่วม และไม่เป็นทางการจนเกินไป อาจทำให้พวกเขาเข้าถึงผู้คนได้มากกว่าการกล่าวสุนทรพจน์บนเวทีหรือโฆษณาทางทีวีราคาแพง

พลังของ \'อินฟลูเอนเซอร์\' ส่งผลต่อทิศทางการเมืองได้อย่างไร !?

อย่างไรก็ตาม ข้อเสียก็มีอยู่ ในเชิงปฏิบัติ เพราะอินฟลูเอนเซอร์จำนวนมาก “ขาดประสบการณ์ในการสื่อสารทางการเมือง” ทำให้บางครั้งเนื้อหาที่ผลิตออกมามีคุณภาพต่ำหรือไม่สามารถอธิบายประเด็นเชิงนโยบายได้ลึกพอ อีกทั้งอินฟลูเอนเซอร์จำนวนไม่น้อยไม่ถนัดการถกเถียงเชิงสาธารณะ และมักไม่พร้อมรับมือกับ “ความคิดเห็นที่แตกต่าง”  จากผู้ติดตาม โดยเฉพาะในประเด็นอ่อนไหว เช่น ผู้อพยพ สิ่งแวดล้อม หรือสิทธิสตรี

สุดท้าย อินฟลูเอนเซอร์คือภาพสะท้อนของยุคสมัย ที่ความเชื่อ ความรู้สึก และความจริงผสมปนเปกันอยู่ในฟีดข่าว หากพลังนี้ถูกใช้เพื่อสร้างความเข้าใจและความร่วมมือ ก็อาจกลายเป็นพลังประชาธิปไตยอันงดงาม แต่หากถูกใช้เพื่อปลุกเร้าอารมณ์จนเกินพอดี มันก็อาจกลายเป็น “อาวุธของการชี้นำ” ที่ทรงอิทธิพลไม่แพ้การโฆษณาชวนเชื่อในอดีต

ที่มา : sciencedirec

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

related