svasdssvasds

แบงค์ Finnomena กับแนวคิดบอร์ดเกม ห้องเรียนการเงินที่ได้ทำจริง

แบงค์ Finnomena กับแนวคิดบอร์ดเกม ห้องเรียนการเงินที่ได้ทำจริง

แบงค์ ชยนนท์ Finnomena ชวนคุย พบกับปรัชญา 'บอร์ดเกมคือสนามทดลองชีวิต' ที่สอนการเงิน การลงทุน และสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้พนักงานกล้าลงมือทำแบบ Dr. Strange

SHORT CUT

  • พี่แบงค์ ชยนนท์ แห่ง Finnomena ใช้บอร์ดเกมเป็นเครื่องมือหลักในการปลูกฝังความรู้ทางการเงินและการลงทุน ตั้งแต่ลูกชายไปจนถึงพนักงานในองค์กร
  • พี่แบงค์ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงปัญหาใหญ่ที่ไทยกำลังเผชิญ คือ ความล้มเหลวในการบรรจุหลักสูตร Financial Literacy ในระบบการศึกษา
  • รัฐบาลควรหาทาง ผ่อนคลายกฎหมายและลดปัญหาคอร์รัปชัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาในไทยอย่างสบายใจ และย้ำว่าไทยไม่ควรพลาดโอกาสสำคัญในเฟสนี้

แบงค์ ชยนนท์ Finnomena ชวนคุย พบกับปรัชญา 'บอร์ดเกมคือสนามทดลองชีวิต' ที่สอนการเงิน การลงทุน และสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้พนักงานกล้าลงมือทำแบบ Dr. Strange

ท่ามกลางกระแสการเงินและการลงทุนที่ไหลเชี่ยว และความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ไทยกำลังเผชิญ การได้พบกับ ชยนนท์ รักกาญจนันท์ หรือ พี่แบงค์ CEO & Cofounder แห่ง FINNOMENA ก็เปรียบเสมือนการได้พบกับผู้เล่นหลักที่ไม่ได้ต้องการเพียงแค่ชัยชนะส่วนตัว แต่ต้องการขยายสนามเด็กเล่นแห่งการเรียนรู้ให้กว้างขวางขึ้น

แบงค์ Finnomena กับแนวคิดบอร์ดเกม ห้องเรียนการเงินที่ได้ทำจริง

SPRiNG ชวนพูดคุยกับพี่แบงค์พาไปสำรวจความคิดและปรัชญาของเขา ที่นำเอาความสนุกของ บอร์ดเกม มาเป็นเครื่องมือสำคัญในการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ทางการเงินให้แก่คนไทย ตั้งแต่ลูกชายตัวน้อยไปจนถึงพนักงานในองค์กร ด้วยลีลาการเล่าเรื่องที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์และมุมมองที่เฉียบคม

แบงค์ Finnomena กับแนวคิดบอร์ดเกม ห้องเรียนการเงินที่ได้ทำจริง

“มิสเตอร์แมสเซนเจอร์” ผู้ถูกแบน สู่ CEO แห่งแพลตฟอร์มการลงทุน

ชายคนนี้เริ่มต้นแนะนำตัวเองด้วยฉายานามที่คุ้นหูในอดีต “มิสเตอร์แมสเซนเจอร์” ซึ่งไม่ใช่แค่ชื่อเล่น แต่เป็นเรื่องราวการเปลี่ยนผ่านจากมนุษย์เงินเดือนและพนักงานขายกองทุนธรรมดาๆ ย้อนไปในวันที่เขายังทำงานเป็นเซลส์และมาร์เก็ตติ้ง การแสวงหาลูกค้าใหม่ได้นำพาเขาไปสู่การเขียนบทความในเว็บบอร์ดชื่อดังอย่าง พันทิป ในยุคที่ผู้คนรวมตัวกันอยู่บนโลกออนไลน์อย่างหนาแน่น

"ก่อนหน้านี้ก็เป็นพนักงานเป็นมนุษย์เงินเดือนมาตลอด แล้วก็วันนึงก็อยากได้ฐานลูกค้าเพิ่มก็เลยไปเขียนบทความในกระทู้พันทิป... ตอนแรกไปเขียนคือไปเขียนเพื่อหาคน ปรากฏว่าโดนพันทิปแบน"

แม้จะโดนแบนเพราะความไม่รู้กฎเรื่องการขายตรง แต่กลับกลายเป็นจุดกำเนิดของนามปากกาอันเฟี้ยวฟ้าว เมื่อลูกค้าที่สนใจยังติดต่อกลับมา เขาจึงต้องสร้างบัญชีใหม่ และบังเอิญได้แรงบันดาลใจจากพี่เมสเซนเจอร์ที่เดินมาส่งเอกสาร จึงเป็นที่มาของ มิสเตอร์แมสเซนเจอร์ และการเป็นผู้บุกเบิกการให้ความรู้ด้านการลงทุนในโลกออนไลน์

"วันนี้ที่เออตั้งบริษัทได้เนอะ มี FINNOMENA ณ วันนี้ก็เกิดจากเงินเก็บที่เอาเราเอาไปลงทุนมากมาย ก็จากที่ได้จากการลงทุนนี่แหละ... ผมคิดว่าถ้าผมทำได้ คนอื่นก็ต้องทำได้สิวะ ก็เป็นมิชชั่นเป็นฝันต่อไปครับ"

สำหรับเขา การลงทุนไม่เพียงแต่เปลี่ยนชีวิตของเด็กหนุ่มกลางๆ ห้องที่ไม่ได้ทุนหรือเกียรตินิยมเท่านั้น แต่ยังเป็น Mission ที่จะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นถึงพลังของการออมและลงทุนอย่างมีวินัย และจุดบรรจบที่น่าสนใจระหว่างโลกการเงินกับการเรียนรู้ ก็คือ "บอร์ดเกม" ซึ่งเริ่มต้นจากความชอบส่วนตัวที่อยากใช้เวลาร่วมกับลูกชายอย่างมีคุณภาพ โดยมีบอร์ดเกมเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์

แบงค์ Finnomena กับแนวคิดบอร์ดเกม ห้องเรียนการเงินที่ได้ทำจริง

บอร์ดเกม ห้องเรียนชีวิตที่สอนทักษะแห่งการเติบโต

ความหลงใหลในบอร์ดเกมเริ่มขึ้นเมื่อพี่แบงค์ไปเข้าคลาส ABC รุ่น 10 และได้รู้จักโลกของบอร์ดเกมที่กว้างใหญ่กว่า Monopoly ความฝันแรกคือ "โตขึ้นมาอยากเล่นบอร์ดเกมกับลูก" ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เขาศึกษาบอร์ดเกมที่เหมาะกับช่วงวัย และพบว่าบอร์ดเกมนั้นสอนเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง

"บอร์ดเกมมันสอนอย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกว่ามันสอนลูกได้แล้วก็สอนตัวเองได้ก็คือ โลกแต่ละแบบ สังคมแต่ละที่ คนที่เราอยู่แต่ละคน มันมีกฎที่แตกต่างกันไป มันไม่ตายตัว"

จากบ้าน ขยายมาสู่ที่ทำงาน ที่ FINNOMENA มี "ชั้นบอร์ดเกม" และทุกวันศุกร์จะกลายเป็นธรรมเนียมที่พนักงานมารวมตัวกันเล่นเกม เป็นการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นเหมือน 'แคมปัส' ที่ส่งเสริมการเรียนรู้และการใช้ชีวิตร่วมกัน ซึ่งท้ายที่สุดก็นำไปสู่การต่อยอดเป็นหลักสูตร Money Playground

แบงค์ Finnomena กับแนวคิดบอร์ดเกม ห้องเรียนการเงินที่ได้ทำจริง

Learning by Doing บทเรียนที่ลึกซึ้ง การเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ

พี่แบงค์อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างการเรียนรู้จากตำราและการเรียนรู้ผ่านบอร์ดเกมได้อย่างชัดเจน

“ตําราเรียน มันเป็นองค์ความรู้ที่เก็บในความรู้ของประมาณซัก 10-20 ปี... แต่ ณ สถานการณ์ปัจจุบันเนี่ย ตําราเรียนมันเป็นแค่ไกด์ไลน์... แต่วิธีการไปเอง ยังไงก็จำเป็นต้องพึ่งประสบการณ์ของคนๆ นั้น”

ตำราเรียนสอนวัฏจักรเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้บอกว่า "ณ ขณะนี้ เราอยู่ในจุดไหนของวัฏจักร?" บอร์ดเกมจึงเป็นเหมือน 'สนามทดลอง' ที่จำลองสถานการณ์จริง ให้ผู้เล่นต้องเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอน และสร้างประสบการณ์ส่วนตัวที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต

พี่แบงค์เล่าถึงป๊อปอัพโมเมนต์ที่ค้นพบจาก Monopoly ว่ามันสอนเรื่องสำคัญของการลงทุน "คนที่กลัวไม่ยอมซื้ออะไรเลยแค่เพราะว่ากลัวตัวเองจะเสีย สุดท้ายก็เงินก็อาจจะดองอยู่ในเงินฝากธนาคาร แล้วก็โดนเงินเฟ้อกิน" มันเป็นหลักคิดที่ว่า ในโลกการเงินและการทำธุรกิจ คุณต้องกล้าที่จะลงทุนในสิ่งที่ควรลงทุน ไม่ใช่แค่เดินวนรับเงินเดือนไปเรื่อยๆ

The Shopper & Want vs. Need การจัดลำดับความสำคัญ บอร์ดเกมอย่าง The Shopping ที่ให้เด็กๆ ออกไปจ่ายตลาดภายใต้ Budget ที่จำกัด สอนให้เกิดการวางแผนการใช้จ่ายและการเปรียบเทียบความคุ้มค่า "เรื่องบางเรื่องมันประหยัดเวลามันคุ้มกว่า แต่เรื่องบางเรื่องเงินน่ะ สินค้าตัวเดียวกัน... ยอมจะเลือกอะไร" 

พี่แบงค์ เล่าว่า หลักสูตร Money Playground ได้สอนเรื่อง Want (อยากได้) และ Need (จำเป็น) โดยให้เด็กๆ เรียนรู้ผ่านกิจกรรมเชิงเปรียบเทียบ จนสามารถนำไปใช้ชั่งใจการใช้จ่ายในชีวิตจริงได้

พี่แบงค์ ชี้ให้เห็นถึงความซับซ้อนของตลาดทุนในฉบับเกม สำหรับเรื่องที่ซับซ้อนอย่างตลาดหุ้น เขายกตัวอย่าง Stock Play ที่จำลองภาวะตลาดหุ้นได้อย่างน่าสนใจ มันสอนเรื่อง Inside Trade และกลไก Bid/Offer ที่ทำให้ผู้เล่นต้องเกิดความสงสัยว่า "ทำไมมันมีคนบางคนอยากได้ของแพง?" การเล่นเกมนี้ทำให้ผู้เรียนเข้าใจกลไกอย่างคร่าวๆ ทั้งการแตกพาร์และการกระจายตัวของราคาหุ้น ซึ่งเป็นการสร้าง 'ภาษาการลงทุน' ให้กับเด็กอายุ 10-12 ปีได้อย่างสนุกและกระตุ้นการคิด

แบงค์ Finnomena กับแนวคิดบอร์ดเกม ห้องเรียนการเงินที่ได้ทำจริง

ผลลัพธ์ที่จับต้องได้ การเปลี่ยนพฤติกรรมการเงิน

ผลลัพธ์ของการเรียนรู้ไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียน แต่สะท้อนออกมาในชีวิตประจำวันอย่างชัดเจน

พี่แบงค์ เล่าให้ฟังว่าลูกชายของเขาเริ่มมีความสามารถในการ ชั่งใจ ว่าสิ่งใดคือ Want หรือ Need และสามารถ เก็บเงิน เพื่อรอคอยซื้อของชิ้นใหญ่ที่อยากได้ในสัปดาห์หน้า แทนที่จะใช้จ่ายไปกับของเล็กๆ น้อยๆ ในวันนี้

พี่แบงค์ใช้โอกาสนี้เปิดพอร์ตลงทุนในชื่อตัวเอง โดยเลือกกองทุนที่ลูกชายคุ้นเคยกับแบรนด์หรือธุรกิจ เช่น กองทุน E-Sport & Video Game ที่มีหุ้น Roblox หรือ Nintendo ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกชายเล่นอยู่จริง ทำให้เขาสามารถเชื่อมโยงได้ว่า “ไอ้สิ่งของที่มันอยู่รอบตัวเรา ไอ้สิ่งที่เขาใช้ เราสามารถเป็นเจ้าของเขาได้หมดเลยเหรอ” นี่คือการสร้างความสนใจใน Business Model ตั้งแต่วัยเยาว์

การศึกษาไทยที่ไร้เข็มทิศ “การเงินการลงทุน”

พี่แบงค์ชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบรรจุหลักสูตร Financial Literacy ในระบบการศึกษาไทย ทั้งที่หลายประเทศในเอเชียอย่างเกาหลีหรือญี่ปุ่นทำสำเร็จแล้ว

“ไทยเราติดที่อะไรวะ? มันก็อยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการ ทำไมไม่ทำไง... ครูเราเองเนี่ยมีความฉลาดเรื่องการเงินจริงไหม?”

เขามองว่าปัญหาคือการที่ผู้ใหญ่ในสังคมและผู้มีอำนาจยังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นเรื่องรอง และความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยก็ถูกทำลายจาก “ทศวรรษที่สูญหาย” (หุ้นไทยไม่เติบโตใน 10 ปีที่ผ่านมา) และปัญหาความโปร่งใสในตลาด (ทำให้เกิดความรู้สึกว่าตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่ตลาดหลักทรัพย์ แต่เป็น ตลาดลักทรัพย์)

แบงค์ Finnomena กับแนวคิดบอร์ดเกม ห้องเรียนการเงินที่ได้ทำจริง

ทางออกของสังคมไทยที่เขาเห็นคือการเปิดรับอย่างจริงจัง

ในเมื่อเราเติบโตจากภายในได้ยาก เนื่องจากข้อจำกัดด้านประชากรสูงวัยและไม่มี New Economy ที่แข็งแกร่ง เราจึงจำเป็นต้อง "ยืมเทคโนโลยีหรือยืมต่างชาติ" เข้ามาเพื่อกระตุ้นการลงทุน โดยเฉพาะในคลื่นลูกใหม่ของ AI และ Data Center ที่มีการลงทุนรวมกันเป็นล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ

รัฐบาลควรหาทาง ผ่อนคลายกฎหมายและลดปัญหาคอร์รัปชัน เพื่อทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยอย่างสบายใจ โดยย้ำว่า "เราไม่ควรพลาดเฟสนี้" เพราะหากพลาด เราอาจกลายเป็นเพียงผู้ใช้งาน AI ในขณะที่ศูนย์ข้อมูลไปตั้งที่สิงคโปร์หรือเวียดนาม

ปรัชญา “Dr. Strange” ฮีโร่ที่ไม่กลัวการแข่งขัน

เมื่อถูกถามด้วยคำถามสุดท้ายที่ท้าทายปรัชญาแห่งโลกทุนนิยม "พี่สอนคนอื่นเนี่ย ไม่กลัวเขาเก่งแล้วมาล้มพี่หรือครับ?" พี่แบงค์ตอบด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในคุณค่าของการแบ่งปัน

"เอาดิ... ตลาดนี้มันเป็นตลาดของทุกๆ คนแล้ว ยิ่งเข้ามาช่วยนะ ฝันของผมมันไม่ใช่แค่รวยคนเดียว ฝันของผมคือ ถ้าเรามีลูกแล้วเราจะรู้ละกัน... ผมอยากเป็นฮีโร่ให้ลูก"

แบงค์ Finnomena กับแนวคิดบอร์ดเกม ห้องเรียนการเงินที่ได้ทำจริง

เขาไม่ได้กลัวการแข่งขัน เพราะเชื่อว่าตลาดแพลตฟอร์มการลงทุนนั้นไม่ใช่ตลาดแบบ Winner Takes All แต่ต้องการผู้เล่นหลายรายเพื่อสร้างการแข่งขันที่สมบูรณ์และประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภค ดังเช่นบทเรียนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อมีทั้ง Grab และ Uber

พี่แบงค์ทิ้งท้ายด้วยการเปรียบเทียบตัวเองเป็น “ด็อกเตอร์สเตรนจ์ (Dr. Strange)” ที่สามารถมองเห็นทุกทางเลือก (Scenario) ของการลงทุนได้ และมีหน้าที่บอกทั้งข้อดี ข้อเสีย และความเสี่ยงของทุกทางเลือกให้ผู้คนรับรู้ เพื่อให้ทุกคนสามารถ "ลงมือเอาเอง" และรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตัวเอง

แบงค์ ชยนนท์ รักกาญจนันท์ ไม่ใช่นักธุรกิจที่สอนผู้คนเรื่องการลงทุนเท่านั้นเท่านั้น แต่คือผู้สร้างสนามเด็กเล่นที่เชื้อเชิญให้ทุกคน "กล้าเล่น" กล้าทดลอง และกล้าที่จะเป็นเจ้าของชีวิตทางการเงินของตัวเอง เพื่อให้สังคมไทยเดินหน้าไปสู่ยุคที่ทุกคนสามารถสร้างความมั่งคั่งและมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมได้ ตามปรัชญาที่ว่า เป็นสังคมแห่งการให้ ไม่ใช่แค่เอาตัวเองรอด

 

related