svasdssvasds

เจาะอิทธิพล 'ทรัมป์' หลังเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เจาะอิทธิพล 'ทรัมป์' หลังเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ประธานาธิบดีทรัมป์ ของสหรัฐฯ เดินทางเยือนเอเชีย ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันเพื่อศักดิ์ศรี และอาจนำไปสู่การรับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ

SHORT CUT

  • ทรัมป์ดูจะมีอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น หลังเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา จนนำไปสู่การลงนามข้อตกลงสันติภาพ
  • ทรัมป์ยังลงนามข้อตกลงด้านแร่ธาตุหายาก (แรร์เอิร์ธ) กับประเทศไทย เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือและลดการพึ่งพาจีน
  • เขายังถูกมองว่าใช้นโยบายกดดันทางการค้าและขู่ขึ้นภาษีเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนอิทธิพลและบรรลุข้อตกลงต่างๆ ในภูมิภาค

ประธานาธิบดีทรัมป์ ของสหรัฐฯ เดินทางเยือนเอเชีย ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันเพื่อศักดิ์ศรี และอาจนำไปสู่การรับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้เดินทางเยือนเอเชียนาน 5 วันที่ ซึ่งนับเป็นการเดินทางเยือนต่างประเทศที่ยาวนานที่สุดของเขา นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเป็นสมัยที่สองเมื่อเดือนมกราคม 

ย้อนรอยเส้นทางเยือนเอเชีย
เป้าหมายแรกในการเยือนเอเชียของทรัมป์ คือ การประชุมสุดยอดสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน (ASEAN) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเขาทำหน้าที่กำกับดูแล 'การลงนามข้อตกลงสันติภาพระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา'

เจาะอิทธิพล \'ทรัมป์\' หลังเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ข้อตกลงครั้งนี้เกิดขึ้นหลังไทยและกัมพูชาเกิดเหตุปะทะกันนานถึง 5 วัน เนื่องจาก "ข้อพิพาทพรมแดนไทย-กัมพูชา" ที่เรื้อรังนานหลายสิบปี ก่อนที่จะบรรลุข้อตกลงหยุดยิง หลังจากที่ทรัมป์เข้าแทรกแซงในเดือนกรกฎาคม

หลังจากลงนามข้อตกลงสันติภาพแล้ว ทรัมป์ได้ชื่นชมนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย และนายฮุน มาเนต์ นายกรัฐมนตรีกัมพูชา สำหรับความกล้าหาญของพวกเขา และกล่าวเสริมด้วยว่าการสงบศึกที่เขาเป็นคนกลางนั้น ช่วยชีวิตผู้คนไว้ได้นับล้านคน

นอกจากนี้ทรัมป์ยังได้ลงนามข้อตกลงสำคัญด้านแร่ธาตุกับประเทศไทย ซึ่งถูกระบุว่าจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างบริษัทของสหรัฐฯ และไทย เพิ่มความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และลดผลกระทบด้านลบจากพฤติกรรมที่กีดกันการแข่งขันและการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยแร่ธาตุดังกล่าวคือแร่หายากที่เรียกว่า "แรร์เอิร์ธ" ซึ่งแหล่งแร่ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของจีน

อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญของไทยหลายคน ว่ามีแต่ฝ่ายสหรัฐฯ ที่ได้ประโยชน์ ส่วนไทยอาจต้องลงเอยด้วยการแบกรับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเพียงฝ่ายเดียว

ต่อมา ทรัมป์ได้เดินทางเยือนญี่ปุ่น เพื่อพบปะกับ ซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ และยังเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ โดยยืนยันว่าสหรัฐฯ จะคอยช่วยเหลือญี่ปุ่น ในทุกด้าน ตราบเท่าที่ญี่ปุ่นต้องการ พร้อมประกาศถึง "ยุคทอง" ใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ซึ่งย้ำถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองประเทศในการปฏิบัติตามข้อตกลงต่างๆ รวมถึงข้อตกลงภาษีศุลกากร 15% ที่เจรจากันไว้เมื่อต้นปีนี้ด้วย

เจาะอิทธิพล \'ทรัมป์\' หลังเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เส้นทางสู่รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
นับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี รัฐบาลของเขาอ้างว่าสามารถแก้ไขสงครามได้ถึง 8 ครั้งภายใน 8 เดือน และการที่เขาผลักดันให้ไทยและกัมพูชาลงนามในข้อตกลงครั้งนี้ได้ ก็นับเป็นการแสดงให้เห็นว่าทรัมป์ยังคงมุ่งมั่นที่จะคว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปีหน้า

โดยเมื่อเดือนกรกฎาคม กัมพูชาได้เสนอชื่อทรัมป์ให้รับรางวัลสันติภาพอันทรงเกียรติ หลังจากที่เขาเข้าแทรกแซงเพื่อยุติการปะทะกันอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันห้าวันบริเวณพรมแดนที่เป็นข้อพิพาท ด้วยคำขู่ที่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ทั้งไทยและกัมพูชาเป็น 49% หากทั้งสองประเทศไม่สามารถแก้ไขปัญหาชายแดนได้ แต่หากยินยอมบรรลุข้อตกลง ก็จะเก็บภาษีเพียง 19% เท่านั้น

ขณะที่ก่อนหน้านี้ รัฐบาลปากีสถานเองก็เคยประกาศเสนอชื่อทรัมป์ ให้เป็นหนึ่งในผู้เข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ โดยอ้างถึงการแทรกแซงทางการทูตที่เด็ดขาดของเขาภายหลังเหตุรุนแรงระหว่างอินเดียและปากีสถานที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อต้นปีนี้ ท่ามกลางความกังวลว่าจะเกิดสงครามในวงกว้าง

เจาะอิทธิพล \'ทรัมป์\' หลังเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ใช้แรงกดดันทางการค้าเพื่อขับเคลื่อนอิทธิพล
แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก แต่ทรัมป์ต้องการลดการขาดดุลการค้ากับคู่ค้าหลายราย ซึ่งเป็นที่มาของการใช้คำสั่งฝ่ายบริหารในการขึ้นภาษีนำเข้าต่อหลายประเทศทั่วโลก 

แน่นอนว่าเรื่องนี้สร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ต้องใช้ทั้งภาษีศุลกากร การค้า รวมถึงการขนส่งสินค้า เป็นองค์ประกอบสำคัญในการต่อรองกับสหรัฐฯ 

เศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เปรียบเสมือนช่องทางในห่วงโซ่อุปทานโลก หลายประเทศจัดหาแร่ธาตุสำคัญ เช่น นิกเกิล ให้กับจีน เพื่อการผลิตเป็นสินค้าที่เข้าสู่ตลาดสุดท้ายในสหรัฐอเมริกา แต่ข้อจำกัดทางการค้าจากสหรัฐฯ หมายความว่าประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะต้องหาตลาดปลายทางอื่น ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย และยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับเศรษฐกิจของพวกเขาด้วย

ขณะที่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ คาดการณ์ว่า มูลค่าการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศสมาชิกอาเซียนจะอยู่ที่ 475,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2567 ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญสำหรับเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ผู้นำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังเชื่อด้วยว่า การได้พูดคุยกับประธานาธิบดีทรัมป์โดยตรงจะช่วยให้พวกเขาสามารถเสนอความเห็นของตนได้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็หลีกเลี่ยงการถูกปิดกั้นโดยสหรัฐอเมริกาได้ 

อย่างไรก็ตาม ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และอาจารย์ประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในกรุงเทพมหานคร วิเคราะห์ว่า ทรัมป์สนใจชัยชนะที่รวดเร็วและการบรรลุข้อตกลงกับจีนมากกว่า ส่วนการประชุมอาเซียนเป็นเพียงการแสดงข้างเคียงสำหรับทรัมป์เท่านั้น