svasdssvasds

เขียนนิยายออนไลน์สร้างรายได้ ช่องทางหาเงินที่ไม่ควรมองข้าม !

เขียนนิยายออนไลน์สร้างรายได้  ช่องทางหาเงินที่ไม่ควรมองข้าม !

เมื่อความรักในการเขียนกลายเป็นอาชีพ: เรื่องจริงของ ‘G.Lina’ นักเขียนนิยายออนไลน์ที่เริ่มจากศูนย์ จนสร้างรายได้ห้าถึงหกหลัก

SHORT CUT

  • คุณอโนทัยเริ่มจากการเขียนเพราะรัก ไม่ได้มาจากการอ่านก่อนเหมือนใครหลายคน จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ จากการเขียนเรียงความและลงนิยายในเว็บบอร์ดยุคแรกอย่างพันทิปและเด็กดี กลายเป็นก้าวสำคัญสู่การเป็นนักเขียนมืออาชีพในยุคออนไลน์
  • “แพลตฟอร์มออนไลน์” คือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดของนักเขียนรุ่นใหม่ เพราะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้เร็ว ทั้งยอดอ่าน ยอดเหรียญ และรายได้จริง โดยแทบไม่ต้องมีต้นทุน
  • สำหรับคุณอโนทัย รายได้ไม่ใช่ทั้งหมดของการเขียน สิ่งล้ำค่ากว่าคือ “คอมมูนิตี้ของคนอ่าน” ที่มอบกำลังใจให้กันและกัน เธอเคยได้รับข้อความจากผู้อ่านที่บอกว่านิยายช่วยให้ผ่านวันที่ยากลำบากมาได้ ซึ่งกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้เขียนต่อเรื่อย ๆ 

เมื่อความรักในการเขียนกลายเป็นอาชีพ: เรื่องจริงของ ‘G.Lina’ นักเขียนนิยายออนไลน์ที่เริ่มจากศูนย์ จนสร้างรายได้ห้าถึงหกหลัก

เชื่อว่าหลายๆ คนมีความฝันอยากเขียนหนังสือสักเล่มในชีวิต อยากจะเล่าเรื่องราวที่เกิดจากหัวใจและประสบการณ์ของเราเอง อยากให้มีคนได้อ่าน ได้รู้สึก ได้อินไปกับตัวละครหรือแนวคิดที่เราสร้างขึ้น แต่ในอดีต การเป็น “นักเขียน” ดูเหมือนจะเป็นเส้นทางที่ยาก ต้องผ่านสำนักพิมพ์ ต้องมีโอกาส ต้องมีคนรู้จัก

แต่วันนี้โลกออนไลน์ได้เปลี่ยนทุกอย่างไปแล้ว เราสามารถเผยแพร่งานเขียนของเราได้ทันที สร้างผู้อ่านของตัวเอง และที่สำคัญ  สร้างรายได้จากสิ่งที่เรารักได้จริง ไม่ว่าจะเป็นนิยายออนไลน์บนแพลตฟอร์มไทยหรือสากล ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้ามาสู่สนามนี้ได้

บทความนี้ทีม SPRiNGNews ขอพาทุกคนมาฟังประสบการณ์ตรงจาก คุณอโนทัย พวสำลี หรือที่ผู้อ่านรู้จักกันดีในนามปากกา G.Lina นักเขียนเจ้าของผลงานนิยายจีนย้อนยุคสุดฮีตเช่น  สุดฮิตเรื่อง หงส์อินทนิล, หงส์ไม่หวน, เป็นอนุฯสุขใจยิ่ง, นางร้ายด้ายแดง ฯลฯ

เธอจะมาเล่าประสบการณ์จากเส้นทางนักเขียนที่เริ่มต้นจากศูนย์ สู่การลงนิยายตอนแรก ไปจนถึงวันที่มีรายได้จากการเขียนห้าถึงหกหลักจนเลี้ยงตัวเองได้ และหวังว่าเรื่องราวและประสบการณ์ของเธอจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเขียนหน้าใหม่ทุกคน ที่กำลังเริ่มต้นเดินบนเส้นทางแห่งการเขียน

จุดเริ่มต้นเส้นทางนักเขียน

คนส่วนใหญ่ที่อยากเป็นนักเขียน มักจะเริ่มต้นจากการเป็น “นักอ่านตัวยง” มาก่อน  อ่านเยอะจนเกิดแรงบันดาลใจอยากลองเขียนด้วยตัวเองบ้างแต่สำหรับคุณอโนทัย เส้นทางกลับต่างออกไปเล็กน้อย เพราะจุดเริ่มต้นของเธอมาจาก “ความรักในการเขียน” ตั้งแต่แรก เธอชอบเขียนเรียงความส่งประกวดตั้งแต่สมัยเรียน และมักได้รับรางวัลอยู่เสมอ

กล่าวได้ว่า เธอคือคนที่ “เขียนมาเยอะก่อนที่จะรักการอ่าน” และนั่นเองที่ทำให้เธออยากต่อยอดสิ่งที่รักให้กลายเป็นอาชีพจริงจัง

อีกอย่างหนึ่งที่อาจจะมีส่วนสำคัญคือ ตอนเด็ก ๆ เราไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ เคยโดนบูลลี่บ้างก็มี เลยชอบไปอยู่ห้องสมุดแทน ไปนั่งเงียบ ๆ อ่านหนังสือ ฟังเสียงรอบข้าง หรือบางทีก็ดูการ์ตูนเยอะมาก การอยู่แบบนั้นทำให้มีเวลาคิด มีจินตนาการอยู่กับตัวเองเยอะ และสุดท้ายสิ่งเหล่านั้นก็กลายมาเป็นวัตถุดิบในการเขียนนิยายในที่สุด

เขียนนิยายออนไลน์สร้างรายได้  ช่องทางหาเงินที่ไม่ควรมองข้าม !

คุณอโนทัยเล่าว่า ตอนแรกเริ่มจาก “วาดการ์ตูน” ก่อน เพราะเราชอบวาดรูป แล้วพอเริ่มโตขึ้นถึงค่อยหันมาเขียนนิยายที่เป็นเนื้อความเยอะ ๆ มากขึ้น ช่วงนั้นประมาณมัธยมต้น เราอยากเป็นนักเขียน อยากลองเขียนเองดูบ้าง” ก็เลยเริ่มลงงานในแพลตฟอร์มต่าง ๆ ของยุคนั้น ต้องย้อนกลับไปถึงพันทิปและเด็กดี ช่วงนั้นยังเป็นการเขียนเล่น ๆ เขียนเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะยังไม่เก่ง แล้วก็ยังมีภาระเรียน เลยเขียนบ้าง หยุดบ้าง ทิ้งไว้บ้าง

แต่ตรงนั้นแหละ เป็น “จุดเริ่มต้นจริง ๆ” ของเรา  จุดที่รู้ตัวว่า “ชอบการเขียน” และอยากเป็นนักเขียนอย่างจริงจัง น่าจะช่วงมัธยมต้นนั่นเอง แต่ช่วงนั้นยังไม่มีรายได้เพราะแพลตฟอร์มต่างๆ ยังเปิดให้อ่านฟรี

ถ้าเริ่มมีรายได้จากนิยายจริง ๆ ก็น่าจะประมาณ หกถึงเจ็ดปีก่อน ตอนนั้นเริ่มมี “แพลตฟอร์มออนไลน์” ที่เปิดให้ติดเหรียญหรือขายนิยายได้ ชีวิตนักเขียนออนไลน์มันเปลี่ยนเลย เพราะเราสามารถ “ขายผลงานโดยตรงกับคนอ่าน” ได้โดยไม่ต้องผ่านใคร และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของรายได้จากการเขียนของเรา

แจ้งเกิดจากนิยายจีนย้อนยุค  

ตอนแรกเขียนแนว แฟนตาซี เพราะเราโตมากับนิยายแนวนี้เลย ทั้งอ่านและดูอนิเมะมาตั้งแต่เด็ก ก็เลยอยากลองสร้าง “โลกแฟนตาซีของตัวเอง” ดูบ้าง แต่พอเขียนไปจริง ๆ ก็รู้สึกว่าเหนื่อยมาก เพราะมันต้องสร้างทุกอย่างใหม่หมด ทั้งโลก กฎเกณฑ์ ภาษา วัฒนธรรม ทุกอย่างต้องมาจากศูนย์ แล้วช่วงนั้นก็เป็นจังหวะที่กำลังคิดเรื่องอนาคตว่าจะเรียนต่อดีไหม หรือจะช่วยกิจการที่บ้านต่อดี ก็เลยเริ่มมีคำถามกับตัวเองว่า “เราจะเอายังไงต่อดี”

อยู่ดี ๆ วันหนึ่งก็นึกขึ้นมาได้ว่า “อยากลองเขียนนิยายไทยพีเรียดดูสิ” พอลองเขียนแนวไทยพีเรียดที่เป็นเรื่องใกล้ตัวเรื่องแรกดู ปรากฏว่า ได้รับการตอบรับดีมาก คนอ่านชอบเยอะเกินคาดจนเรามีกำลังใจเขียนเรื่องที่ 2 และเรื่องที่ 3 ต่อมา

ทีนี้ “แนวจีน” มันค่อย ๆ เข้ามาแบบไม่ได้ตั้งใจ ตอนนั้นเรายังไม่ได้คิดจะเขียนแนวจีนจริงจัง แต่พอมีโอกาสไปเรียนที่จีน ก็เริ่มซึมซับวัฒนธรรม ภาษาพูด ภาพในหัวมันชัดขึ้น เลยลองเขียนแนวจีนดูสักเรื่อง ปรากฏว่า “กระแสตอบรับดีมาก” จนตัวเราเองยังตกใจ หลังจากนั้นแฟนคลับก็เริ่มรู้จักเราในฐานะนักเขียนแนวจีนไปเลย

ช่วงแรก ๆ ตอนเขียน รายได้ก็ยังไม่มาก อยู่ประมาณหลักพัน หรือสี่หลักต้น ๆ เท่านั้นเอง แต่พอเริ่มเขียนนิยายจีน รายได้มันเพิ่มขึ้นแบบเห็นได้ชัดเลย เพราะแฟนคลับหลายคนที่ตามเรามาตั้งแต่ยุคแรก ๆ เขายังอยู่กับเราตลอด พอมีฐานคนอ่านที่แน่นขึ้น รายได้ก็เริ่มขยับขึ้นเป็นหลักหมื่นตั้งแต่เรื่องแรกเลยและหลัง ๆ มาก็มีบางช่วงที่ถึงหลักแสนด้วยเหมือนกัน

ตอนนี้โดยเฉลี่ยก็จะอยู่ที่หลักหมื่นปลาย ๆ  ไม่ถึงหกหลักทุกเดือน แต่ก็อยู่ในระดับที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้สบาย ถือว่าเป็นรายได้ที่มั่นคงจากการเขียน

สำหรับเราการเขียนถือว่าเป็นอาชีพหลักได้เลย เพราะจริง ๆ แล้วตอนนี้เรามีอาชีพหลักสองอย่าง คือ “งานประจำ” กับ “งานเขียน” แต่ถ้าย้อนกลับไป อาชีพแรกของเราคือ “นักเขียน” เพียวๆ เลย เป็นงานแรกในชีวิตของเรา ก่อนที่จะมีงานอื่นด้วยซ้ำ

โชคดีมากที่ที่บ้านสนับสนุนตลอด เขามองว่าเราอยู่บ้านก็ยังมีงานทำ มีรายได้จากสิ่งที่เรารัก เขาก็ยินดีด้วย แต่สิ่งที่ยากจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องคนรอบข้างนะ เป็นเรื่องใจตัวเองมากกว่า

ช่วงแรก ๆ เราเคยเจอคอมเมนต์แรง ๆ จากผู้อ่านบ้าง เช่น วิจารณ์ทุกตอน ตำหนินู่นนี่ ตอนนั้นมันบั่นทอนมากเลย จนเราตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ถ้าเขาไม่ชอบ แล้วเขามาอ่านทำไม” แต่สุดท้ายก็เรียนรู้ว่า คนเรามีทางเลือก ถ้ายังมีคนอ่านผลงานเราอยู่ แปลว่ามันต้องมีบางอย่างที่เขาชอบแน่ ๆ

หลังจากนั้นเราก็เปลี่ยนวิธีคิด โฟกัสกับคนที่ชอบผลงานเราแทน ส่วนคำติที่เป็นประโยชน์ เราก็เอามาปรับปรุงงานของเรา ส่วนที่เหลือก็ปล่อยผ่านไป เพราะเราเชื่อว่า ทุกเสียงสะท้อนทำให้เราเติบโตขึ้นในฐานะนักเขียน 

เขียนนิยายออนไลน์สร้างรายได้  ช่องทางหาเงินที่ไม่ควรมองข้าม !

เราอยู่ในยุคที่นิยายออนไลน์กำลังบูมไม่แพ้หนังสือเล่ม !

 จริง ๆ แล้วตอนนี้ยังมองว่า “การเขียนนิยายออนไลน์” เป็นกระแสหลักที่ดีอยู่เพราะเห็นได้ชัดเลยว่ามีคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะน้อง ๆ หลายคน กระโดดเข้ามาในวงการเขียนเยอะขึ้นมาก

ด้วยความที่มันเป็นพื้นที่ไม่จำกัดใครเลย ไม่จำกัดอายุ ไม่จำกัดอาชีพ ไม่จำกัดเพศ หรือแม้แต่พื้นเพ คนอ่านก็ไม่รู้หรอกว่าคนเขียนอายุเท่าไหร่ เป็นใคร มาจากไหน ทุกคนสามารถเริ่มต้นได้หมด บางคนอาจเริ่มจากแค่ “อยากลอง” หรือ “อยากมีรายได้เสริมเล็ก ๆ น้อย ๆ” ก็สามารถเข้ามาทำได้ทันที

เพราะสุดท้ายแล้ว มันไม่มีใครมาบอกได้หรอกว่าคุณทำได้หรือไม่ได้ มันเป็นเหมือน “สนามเปิด” ที่ทุกคนสามารถลองเข้ามาเล่นได้ เหมือนสนามทดลองที่คุณอยากฝึก อยากเรียนรู้ อยากลองสร้างงานของตัวเอง

ตอนนี้เลยเห็นนักเขียนออนไลน์หน้าใหม่เพิ่มขึ้นเยอะมากจริง ๆ และวงการนี้ก็ยังคึกคักอยู่ตลอด

นอกจากนี้หมวดหมู่ของนิยายในยุคนี้ก็หลากหลายขึ้นมาก ไม่ได้จำกัดอยู่แค่แนวโรแมนติกหรือแฟนตาซีเหมือนสมัยก่อน แต่ยังมีแนวยูริ แนววาย และแนวเฉพาะทางอีกมากมาย ซึ่งเปิดโอกาสให้นักเขียนได้ “ปลดปล่อยจินตนาการ” ของตัวเองอย่างเต็มที่ และสามารถสร้างรายได้จากสิ่งที่รักไปพร้อมกันด้วย

ออนไลน์ VS หนังสือเล่ม

เมื่อพูดถึงเส้นทางการเป็นนักเขียนมืออาชีพ คุณอโนทัยเล่าว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอได้ลองสร้างสรรค์ผลงานในหลากหลายรูปแบบ ทั้ง นิยายออนไลน์, นิยายทำมือ, ไปจนถึง นิยายตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์

 “อย่างแรกคือ นิยายออนไลน์ ที่ลงในแพลตฟอร์มต่าง ๆ ซึ่งสามารถทำเป็นอีบุ๊กได้ หรือติดเหรียญก็ได้ แบบนี้เราจะได้รับส่วนแบ่งจากแพลตฟอร์มโดยตรง รายได้จะขึ้นอยู่กับ ‘ฐานแฟนคลับ’ และ ‘จำนวนผู้ซื้อ’ ของเรา ถ้าฐานผู้อ่านแน่น รายได้ก็จะดีขึ้นตามไปด้วย ข้อดีคือเราทำเองได้หมด และแทบไม่มีต้นทุนเลย นอกจากค่าปก ค่าพิสูจน์อักษร และค่าต้นฉบับที่เราเขียนเอง”

แบบที่สองคือ นิยายทำมือ ซึ่งเคยลองทำมาแล้วเหมือนกัน อันนี้จะมีต้นทุนมากขึ้น เพราะเราต้องออกค่าใช้จ่ายเองทุกอย่าง ทั้งค่าพิมพ์ ค่าจัดส่ง ของแถมต่าง ๆ ทำให้กำไรจะน้อยกว่าออนไลน์ แต่สิ่งที่ได้คือ ‘ความสุขใจ’ ระหว่างนักเขียนกับนักอ่าน เหมือนเป็นการซื้อใจต่อใจกัน เรามีหนังสือเล่มจริงให้เขาจับต้องได้ ซึ่งมันก็มีคุณค่าทางใจที่ต่างออกไป”

ส่วนแบบที่สามคือ ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ อันนี้จะมีการแบ่งเปอร์เซ็นต์รายได้กับทางสำนักพิมพ์ โดยทั่วไปจะได้ไม่มากนัก เพราะต้นทุนของทางสำนักพิมพ์สูง ทั้งค่ากระดาษ การจัดพิมพ์ และค่าแรงงาน แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ ‘ชื่อเสียง’ และการเข้าถึงกลุ่มผู้อ่านในวงกว้างขึ้น ซึ่งก็มีค่าของมันในอีกแบบหนึ่ง

เธอเสริมอย่างตรงไปตรงมาว่า “พูดตามตรง การพิมพ์เล่มจริง ๆ ยังสู้รายได้จากออนไลน์ไม่ได้ เพราะต้นทุนกระดาษและค่าผลิตมันสูงมาก แถมพฤติกรรมของนักอ่านยุคนี้ก็เปลี่ยนไปแล้ว หลายคนสะดวกอ่านผ่านมือถือมากกว่า แต่ก็ยังมีนักอ่านบางกลุ่มที่ชอบหนังสือเล่มอยู่ ซึ่งเราก็เข้าใจและยังอยากทำไว้ให้พวกเขาเหมือนกัน”

“โดยส่วนตัว ตอนนี้เลยเน้น ออนไลน์เป็นหลัก เพราะทั้งสะดวกกว่า ต้นทุนต่ำกว่า และตอบโจทย์กับวิถีชีวิตของนักเขียนยุคนี้มากที่สุด”

ออนไลน์คือสนามทดสอบฝีมือที่ดีที่สุด

ถ้าให้เทียบกันระหว่างการเขียนนิยายออนไลน์แบบขายติดเหรียญในเว็บ กับการพิมพ์เป็นเล่ม มันแตกต่างกันเยอะเลย

นิยายออนไลน์เราสามารถ “เห็นผลลัพธ์ได้เร็วกว่า” รายได้ก็เข้ามาทันทีตามยอดอ่าน ยอดซื้อ หรือยอดเหรียญที่คนจ่าย ซึ่งมันตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่อยากเห็นการเติบโตของผลงานแบบเป็นรูปธรรม ขณะที่การพิมพ์เป็นเล่มต้องใช้เวลานานกว่า ทั้งการพิจารณาจากสำนักพิมพ์ การจัดรูปเล่ม และต้นทุนการผลิตที่สูง

ถ้าเป็นนักเขียนรุ่นใหม่ที่อยากมีผลงานของตัวเอง แนะนำว่าให้เริ่มจาก “ออนไลน์ก่อน” เลย เพราะมันคือพื้นที่ฝึกฝีมือที่ดี และยังได้เรียนรู้ตลาดไปในตัวด้วย บางทีถ้าเรามีฐานผู้อ่านอยู่แล้ว พอยอดดี สำนักพิมพ์เขาก็จะเห็นเอง แล้วติดต่อมาหาเราภายหลังก็ยังได้ แถมบางที่ยังใช้ผลงานออนไลน์ของเราเป็นหลักฐานพิจารณาอีกด้วย เพราะเขาจะดูเลยว่าเรามีแฟนคลับขนาดไหน มีกระแสตอบรับดีไหม

สำหรับเทคนิคในการเขียนและลงตอนนิยายของเรา ด้วยความที่มีงานหลักอีกงานหนึ่ง เราจะ “ลงนิยายสัปดาห์ละสี่วัน”  แต่ละตอนจะไม่ยาวมากนัก และทิ้งปมไว้ให้ตามต่อทุกตอน

นอกจากนี้ยังมีเทคนิคเล็ก ๆ อย่าง “เปลี่ยนเวลาลงเล็กน้อย” จากเวลาปกติที่เคยลง เช่น ปกติลงหนึ่งทุ่ม ก็จะเลื่อนเป็นหนึ่งทุ่มห้านาที เพื่อให้ระบบของแพลตฟอร์มเด้งขึ้นฟีดใหม่อีกครั้ง คนอ่านจะเห็นได้ง่ายขึ้น เป็นกลวิธีเล็ก ๆ ที่ช่วยให้คนเจอผลงานของเราได้มากขึ้น

ส่วนเรื่องการโปรโมท เราแทบไม่ได้ทำเองเลย ต้องขอบคุณทางแพลตฟอร์มจริง ๆ ที่คอยช่วยประชาสัมพันธ์ให้ เวลาจบเรื่องหนึ่ง เราก็จะเขียนแนะนำไว้ท้ายตอนว่ามีเรื่องใหม่กำลังจะมา หรือแปะลิงก์ให้คนอ่านตามต่อจากตรงนั้น แล้วคนอ่านเขาก็จะไปต่อเอง

เรามีเพจส่วนตัวที่เอาไว้แจ้งข่าวบ้าง แต่โดยส่วนใหญ่แพลตฟอร์มจะเป็นฝ่ายช่วยโปรโมทให้มากกว่า ทีมงานเขาจะติดต่อมาบอกเลยว่า “เดี๋ยวจะช่วยโปรโมทนิยายเรื่องนี้ให้นะ” เราเลยแทบไม่ต้องทำอะไรเลย ก็ยอมรับตรง ๆ ว่าเป็นคนขี้เกียจโปรโมทอยู่แล้ว แต่โชคดีที่แพลตฟอร์มช่วยสนับสนุนตลอด ก็เลยอยู่ในจุดที่สบายใจและทำงานได้เต็มที่กับการเขียนอย่างเดียว

ส่วนเรื่องติดเหรียญเราจะไม่ตั้งราคาตอนละแพงมาก เพราะเข้าใจดีว่านักอ่านบางคนอาจต้องจ่ายหลายรอบ ทั้งตอนติดเหรียญ ทั้งอีบุ๊ก เราเลยตั้งไว้เพียงตอนละ 1–2 บาท เพื่อให้เข้าถึงได้ง่าย แต่ถึงจะราคาน้อย ถ้ามีฐานแฟนคลับจำนวนมาก รายได้ต่อก้อนก็ถือว่าดีมากอยู่แล้ว

ต้องเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะกับเรา  

ถ้าพูดถึงเรื่องการเลือกแพลตฟอร์ม เราจะเลือกจาก “ความคุ้นเคย” และ “ฐานผู้อ่าน” เป็นหลักอย่างแพลตฟอร์มสีส้มที่ทุกคนรู้จักกันดีอย่างเด็กดี เราอยู่กับเขามาตั้งแต่สมัยมัธยม เขียนกับที่นั่นมานานมาก ๆ แล้ว นิยายเรื่องแรกที่เราได้รับการสนับสนุนจริง ๆ ก็มาจากเด็กดีนี่แหละ เพราะฉะนั้นเราก็รู้สึกสบายใจที่จะลงกับเขา

เขาเองก็สนับสนุนเรามาโดยตลอด ไม่ว่าจะช่วยโปรโมทหรือแนะนำในลิสต์ต่าง ๆ ซึ่งมีฐานผู้อ่านเยอะมากอยู่แล้ว เราเลยยังลงที่นั่นอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษากลุ่มแฟนคลับเดิม ส่วนหลังจากนั้นเราก็จะเอาเรื่องที่จบแล้วไปลงใน MEB ต่อ เพื่อทำเป็นอีบุ๊กขายในรูปแบบที่ใหญ่ขึ้น คนอ่านจากเด็กดีก็จะตามไปซื้ออ่านต่อใน MEB อีกที เหมือนเป็นขั้นตอนต่อเนื่องกัน

พูดตามตรง อีบุ๊กมาแรงมากกว่าหนังสือเล่มเยอะจริง ๆ จนบางทีก็รู้สึกใจหายนิด ๆ เหมือนกัน เพราะกลัวว่าวันหนึ่ง “หนังสือเล่ม” จะค่อย ๆ หายไป ทั้งที่เราก็ยังรักหนังสือกระดาษอยู่ ชอบความรู้สึกเวลาพลิกหน้า ชอบกลิ่นหมึก ชอบการได้จับต้องของจริงอยู่ดี

ส่วนถ้าจะพูดถึงการแนะนำสำหรับนักเขียนรุ่นใหม่ การเลือกแพลตฟอร์มมันขึ้นอยู่กับแนวของนิยายด้วย เพราะแต่ละที่มีฐานคนอ่านไม่เหมือนกันเลย ถ้าเป็นแนวใหม่ ๆ อย่างแนววัยรุ่น วาย หรือยูริ แพลตฟอร์มอย่าง ReadAWrite หรือ Fictionlog ก็เหมาะมาก เพราะเขามีลูกเล่นเยอะและเข้ากับแนวแฟนๆ รุ่นใหม่ดี

แต่ถ้าเป็นแนวคลาสสิกหน่อย เช่น แฟนตาซี ไทยพีเรียด หรือจีนโบราณ ที่เน้นเนื้อเรื่องเข้มข้น เด็กดีก็ยังเป็นฐานหลักที่แข็งแรงอยู่ดี เพราะคนอ่านที่นั่นจะชอบแนวนี้เป็นพิเศษ

โดยรวมแล้ว เราจะเลือกแพลตฟอร์มจาก “กลุ่มคนอ่านเป้าหมาย” ของเรื่องนั้น ๆ เป็นหลักเลย ว่าแนวของเราจะไปเจอคนที่ชอบมันมากที่สุดได้ที่ไหน แล้วค่อยกระจายต่อยอดไปยังแพลตฟอร์มอื่นภายหลัง

พยามเริ่มเขียนจากเรื่องใกล้ตัว ถ้าเรารักในสิ่งที่เขียน เราจะไปได้ดี

เราเชื่อว่าอยากเป็นนักเขียน ต้องเริ่มจาก “ลงมือเขียน” ก่อน ไม่ต้องรอให้พร้อม ไม่ต้องรอให้เก่ง เพราะเราก็เริ่มจากศูนย์เหมือนกัน ตอนมัธยมเริ่มเขียนมีคนอ่านไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ แต่เราก็ดีใจมาก เพราะตอนนั้นเราอยากเป็นนักเขียน เราเลยเขียนไปเรื่อย ๆ แม้จะทิ้งบ้าง หยุดบ้าง แต่ไม่เคยหยุดเขียนจริง ๆ

เพราะฉะนั้น ถ้าใครอยากเริ่ม ขอให้เขียนเลย ไม่ต้องคิดว่าตลาดจะเป็นยังไง ไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร แค่ถามตัวเองว่า “เราชอบสิ่งที่เราเขียนมั้ย” ถ้าชอบ ก็แปลว่าเรามาในทางที่ถูกแล้ว

สำหรับเล่มแรกของตัวเอง เราเชื่อเสมอว่าควร “เขียนในสิ่งที่ตัวเองอยากอ่าน”  เพราะถ้าเรายังรู้สึกว่าอยากอ่านเรื่องนี้ แปลว่าเราจะอยากเขียนมันอย่างจริงใจและเต็มที่ และความรู้สึกนั้นจะส่งต่อไปถึงคนอ่านได้ด้วย

อยากฝากถึงคนที่กำลังลังเลหรือกลัวที่จะเริ่ม  เขียนเลย เขียนไปก่อน อย่ากลัวว่ามันจะผิดหรือจะไม่ดี เพราะเรื่องแรกของเราก็ผิดเยอะมาก แทบจะโดนด่าทุกตอน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ถ้าย้อนกลับไปตอนนั้น เรายังรักนิยายเรื่องแรกของเรามาก มันเต็มไปด้วยพลัง ความสด และความจริงใจในแบบที่ตอนนี้เรากลับไปเขียนไม่ได้อีกแล้ว

เมื่อโตขึ้น มุมมองการเขียนก็จะเปลี่ยนไป มันจะมีเหตุผลมากขึ้น แต่ก็อาจจะขาดความบ้าบิ่นและความสดของตอนเริ่มต้นไปนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้าตอนนี้ยังมีไฟ ยังอยากเขียน ก็เขียนเลย อย่ารอ

ทุกวันนี้เราชอบอ่านผลงานของนักเขียนรุ่นใหม่มากนะ เพราะบางคนเขียนอะไรที่เรายังคิดไม่ถึงเลย “อุ๊ย เขาคิดได้ยังไงเนี่ย มันสด มันใหม่มาก” มันกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เราด้วยซ้ำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

 

 

 

 

related