งานวิจัยใหม่ชี้ว่า การอ่านนิยายไม่เพียงปลุกจินตนาการ แต่ยังปลูกฝังความเข้าใจในอารมณ์ ความคิด และชีวิตของมนุษย์ในแบบที่หนังหรือซีรีส์ไม่อาจทำได้
แม้การอ่านจะดูเหมือนกิจกรรมที่เราทำเพียงลำพัง ไม่มีเสียง ไม่มีผู้ร่วมทาง แต่เบื้องหลังความเงียบนั้นกลับเต็มไปด้วยบทสนทนาในใจระหว่างผู้อ่านกับตัวละคร โลกของนิยายที่เราเปิดเข้าไปอาจไม่เพียงมอบความเพลิดเพลิน หากยังเป็นพื้นที่ลับที่ช่วยฝึกให้เราเข้าใจความรู้สึก ความคิด และมุมมองของผู้อื่นได้ลึกซึ้งกว่าที่เคยรู้ตัว
งานวิจัยล่าสุดเผยว่า การอ่านเป็นประจำอาจเชื่อมโยงโดยตรงกับ “ความเข้าใจทางสังคม” ซึ่งหมายความว่า โลกสมมุติในหนังสือ อาจกำลังช่วยให้เรามองเห็นหัวใจของคนจริง ๆ ได้ชัดขึ้น
งานวิจัยล่าสุดได้สำรวจความสัมพันธ์ระหว่าง “การตระหนักรู้ทางสังคม” (เช่น การเข้าใจความรู้สึกและชีวิตภายในของผู้อื่น) กับ “การอ่านนิยาย” โดยเปรียบเทียบทั้งกรณีที่อ่านเพียงครั้งเดียว กับกรณีที่อ่านเป็นประจำ รวมถึงเปรียบเทียบกับการ “ดูภาพยนตร์” ด้วย แต่ทีมวิจัยไม่ได้คาดการณ์ล่วงหน้าว่ารูปแบบใดจะสัมพันธ์กับความเข้าใจผู้อื่นมากกว่า
ผลการศึกษาพบว่า การอ่านนิยายหรือดูหนังเพียงครั้งเดียว “ไม่ส่งผล” ต่อความเข้าใจผู้อื่น และการดูหนังเป็นนิสัยก็ไม่เกี่ยวข้องเช่นกัน ทว่า “การอ่านนิยายเป็นประจำ” กลับมีความเชื่อมโยงกับการมีความเข้าใจทางสังคมที่ดีกว่า
ทำไมการอ่านจึงมีผล แต่การดูหนังกลับไม่มี? ทีมวิจัยพิจารณาว่าประสบการณ์ที่ผู้คนได้รับจากการอ่านต่างจากการดูอย่างไร พวกเขาพบว่า เมื่อดูหนัง ผู้ชมจะรู้สึก “อารมณ์เข้มข้น” และ “ครุ่นคิด” มากกว่า แต่เมื่ออ่านนิยาย ผู้อ่านจะ “จินตนาการภาพในหัว” มากกว่า
นักวิจัยตั้งข้อสันนิษฐานว่า การที่ผู้อ่านต้อง “สร้างภาพ” ในใจ อาจทำให้พวกเขามีส่วนร่วมกับโลกในเรื่องได้ลึกซึ้งกว่า แถมยังพบเพิ่มเติมว่า ผู้ที่รู้สึกว่าได้ “ดื่มด่ำ” กับเรื่องราวมากกว่ามักจะอยากอ่านนิยายต่อ ซึ่งทำให้พวกเขาได้เข้าโลกสมมุติบ่อยขึ้น และอาจช่วยเพิ่มทักษะการเข้าใจผู้อื่นในชีวิตจริง
แม้จะยังมีคำถามและข้อจำกัดทางวิธีวิจัยที่ต้องสำรวจต่อไป แต่สิ่งที่งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นคือ แม้การอ่านจะดูเป็นกิจกรรมที่โดดเดี่ยวในโลกจริง ทว่าในโลกแห่งจินตนาการ เราไม่เคยอยู่คนเดียวเลย เพราะมีภาพในนิยาย” ที่อาจช่วยให้เรามองเห็นหัวใจของคนรอบข้างได้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม.