svasdssvasds

นั่งดื่มติดลม "ปรับหมื่น" ดริ้งค์ต่อหลังเที่ยงคืน โดนทันที

นั่งดื่มติดลม "ปรับหมื่น" ดริ้งค์ต่อหลังเที่ยงคืน โดนทันที

กฎหมายแอลกอฮอล์ใหม่ นั่งดื่มต่อหลังเที่ยงคืน โทษปรับลูกค้า มาตรการเข้มงวดนี้สวนทางนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างไร?

SHORT CUT

  • กฎหมายแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ มีการกำหนดบทลงโทษผู้บริโภคโดยตรงสำหรับการ "นั่งติดลม"
  • มาตรา 32 ซึ่งควบคุมการบริโภคในร้านหลังเที่ยงคืน ถูกมองว่าเป็นมาตรการที่เข้มงวดและสวนทางกับแนวคิดการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของรัฐบาล
  • การบังคับใช้กฎหมายสร้างความปั่นป่วน เนื่องจากมีการยกระดับการบังคับใช้โทษปรับ 10,000 บาทโดยตรงกับผู้ดื่ม ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นอย่างเข้มงวดในอดีต

กฎหมายแอลกอฮอล์ใหม่ นั่งดื่มต่อหลังเที่ยงคืน โทษปรับลูกค้า มาตรการเข้มงวดนี้สวนทางนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างไร?

เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมาได้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการอาหารและเครื่องดื่มของไทย เมื่อพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ได้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ

กฎหมายฉบับนี้มีเจตนารมณ์เพื่อปรับปรุง พ.ร.บ. เดิม (พ.ศ. 2551) ให้สอดคล้องกับสภาพสังคมและรูปแบบการจำหน่ายในยุคดิจิทัล โดยพยายามสร้างความสมดุลระหว่างการควบคุมผลกระทบทางสังคมกับการส่งเสริมเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม จุดที่ทำให้กฎหมายนี้กลายเป็น "ดราม่าสนั่น" และสร้างความตื่นตระหนกอย่างรุนแรง คือการขยายขอบเขตการบังคับใช้ไปถึง 'ผู้บริโภค' โดยตรง

สาระสำคัญอยู่ในมาตรา 32 ซึ่งกำหนดห้ามผู้ใดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่ขาย หรือสถานที่ที่จัดบริการเพื่อการค้า ในช่วงเวลาที่กฎหมายห้ามขาย หากลูกค้าฝ่าฝืนข้อห้ามดังกล่าว จะต้องระวางโทษปรับเป็นพินัยไม่เกิน 10,000 บาท ตามมาตรา 37/1 การที่บทลงโทษนี้พุ่งเป้าไปที่ลูกค้าที่กำลังดื่มโดยตรง ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในทางกฎหมายที่ทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างกว้างขวางในภาคธุรกิจบริการ

เดิมทีกฎหมายเน้นไปที่ความรับผิดชอบของผู้ประกอบการหรือผู้ขาย (เช่น ห้ามขายให้ผู้เยาว์หรือผู้ที่เมาจนครองสติไม่ได้) 

แต่การกำหนดโทษปรับผู้บริโภคที่ดื่มต่อหลังเวลาห้ามขาย ทำให้เกิดการควบคุมพฤติกรรมการดื่มต่อหน้าเจ้าหน้าที่โดยตรง ซึ่งเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ที่ทั้งภาคธุรกิจและสาธารณชนไม่เคยเผชิญมาก่อน การบังคับใช้ที่เข้มงวดนี้จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ประเด็น "นั่งติดลม" ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นร้อน

การปะทะกันของนโยบาย สุขภาพ vs เศรษฐกิจ

กฎหมายฉบับนี้ถูกนำมาใช้ในช่วงที่รัฐบาลกำลังพยายามผลักดันการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ และมีนโยบายผ่อนปรนบางอย่าง เช่น การขยายเวลาปิดสถานบริการในพื้นที่โซนนิ่ง 

ทว่ามาตรา 32 ซึ่งห้ามการบริโภคในร้านหลังเที่ยงคืนกลับเป็นมาตรการควบคุมที่เข้มงวดสวนทางกับแนวคิดการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

สรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมโฮสเทล ประเทศไทย ได้วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยตั้งคำถามว่า “ไม่เข้าใจคนที่ลงนามกฎหมายฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์อย่างไร อ่านรายละเอียดหรือไม่ว่าจะสร้างปัญหาตามมาในแง่เศรษฐกิจการท่องเที่ยวมหาศาล” 

ความขัดแย้งระหว่างนโยบายที่ต้องการส่งเสริมเศรษฐกิจกลางคืน กับมาตรการควบคุมด้านสาธารณสุขที่เข้มข้น จึงกลายเป็นความท้าทายที่รัฐบาลต้องเผชิญในทันทีที่กฎหมายมีผลบังคับใช้

แกะรอยมาตรา 32 – “นั่งติดลม” ปรับ 1 หมื่น ทำไมต้องระวัง?

หัวใจสำคัญที่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการต้องทำความเข้าใจคือ เงื่อนไขการกระทำที่ผิดกฎหมาย คือการ 'บริโภค' (ดื่ม) ใน 'สถานที่ขาย/ให้บริการเพื่อการค้า' ใน 'เวลาห้ามขาย' 

ช่วงเวลาห้ามขายที่ถูกอ้างอิงตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่ยังมีผลบังคับใช้ (พ.ศ. 2568) มีสองช่วงเวลาหลักที่ต้องเฝ้าระวัง

  1. ช่วงเช้าตรู่/กลางคืน: ตั้งแต่ 00.00 น. (เที่ยงคืน) ถึง 11.00 น. (11 โมงเช้า)
  2. ช่วงกลางวัน: ตั้งแต่ 14.00 น. (บ่าย 2 โมง) ถึง 17.00 น. (5 โมงเย็น)

นี่คือที่มาของสถานการณ์ "นั่งติดลม" หรือ "นั่งแช่" หากลูกค้ามานั่งดื่มตั้งแต่หัวค่ำ และซื้อเครื่องดื่มก่อนเที่ยงคืน แต่ยังคงนั่งดื่มต่อไปหลัง 00.00 น. แม้เครื่องดื่มจะเหลือเพียงครึ่งแก้ว ก็ถือว่าเข้าข่ายบริโภคใน "เวลาห้ามขาย" และมีสิทธิถูกปรับ 10,000 บาทได้ทันที

กฎหมายไม่ได้บังคับใช้กับทุกสถานที่อย่างเท่าเทียมกัน เนื่องจากยังคงมีข้อยกเว้นสำหรับสถานประกอบการบางประเภทที่ได้รับอนุญาตให้ขายและบริโภคได้นอกเวลาปกติ สถานที่เหล่านี้คือ

  1. สถานบริการที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย: (ผับ บาร์ ที่ได้รับใบอนุญาตสถานบริการอย่างถูกต้อง) สถานบริการเหล่านี้มักได้รับอนุญาตให้ปิดทำการหลัง 24.00 น. ได้ตามกฎหมายสถานบริการ
  2. โรงแรมที่มีใบอนุญาตตามกฎหมาย
  3. พื้นที่ผู้โดยสารขาออก ณ ท่าอากาศยานนานาชาติ

ความแตกต่างนี้ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางกฎหมายอย่างเห็นได้ชัด ร้านอาหารหรือบาร์ขนาดเล็กส่วนใหญ่ที่ถือใบอนุญาต 'ร้านอาหาร' (ซึ่งไม่เข้าข่าย 'สถานบริการ') จะต้องเคร่งครัดเรื่องการหยุดดื่มในเวลาห้ามขาย โดยเฉพาะหลังเที่ยงคืน 

การบังคับใช้ที่เข้มงวดส่งผลให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบทางธุรกิจอย่างรุนแรง เนื่องจากร้านอาหารทั่วไปจะสูญเสียรายได้จากลูกค้าที่ "นั่งต่อ" (Sitting in revenue) ซึ่งเป็นสัดส่วนสำคัญของรายได้ยามค่ำคืน

นอกจากนี้ การที่รัฐยังคงใช้ช่วงเวลาห้ามขายเดิมตามประกาศที่เกี่ยวข้อง ทำให้ร้านอาหารและคาเฟ่ที่ขายแอลกอฮอล์ต้องหยุดการบริโภคในช่วงกลางวัน (14.00–17.00 น.) ด้วย ซึ่งสร้างภาระในการบริหารจัดการความเสี่ยง (ต้องวางระบบ Last Order และเคลียร์โต๊ะก่อนเที่ยงคืน) ให้กับผู้ประกอบการรายย่อยทันที

ภายใต้กระแสวิพากษ์วิจารณ์ นพ. นิพนธ์ จากกระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงว่า กฎหมายนี้ไม่ได้เป็นการกำหนด "ข้อห้ามใหม่" ในทางปฏิบัติ แต่เป็นการนำเนื้อหาเดิมจากประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 มาบรรจุไว้ใน พ.ร.บ. ฉบับปรับปรุง

อย่างไรก็ตาม ข้อถกเถียงเชิงปฏิบัติคือ แม้ข้อห้าม 'การดื่มต่อหลังเวลาห้ามขาย' จะมีอยู่ในกฎหมายเดิม แต่ในอดีต เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ไม่ได้บังคับใช้อย่างเข้มงวดกับผู้บริโภค การบรรจุมาตรา 32 พร้อมกำหนดโทษปรับ 10,000 บาทให้ผู้ดื่มโดยตรง จึงถือเป็นการยกระดับการบังคับใช้และสร้างมาตรฐานใหม่ที่ภาคธุรกิจและสาธารณชนเพิ่งรับรู้และต้องปรับตัว

วิกฤตเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เสียงร้องของเอกชนช่วงไฮซีซั่น

การบังคับใช้มาตรา 32 สร้างความปั่นป่วนให้กับผู้ประกอบการอย่างหนัก โดยเฉพาะในช่วงปลายปีที่กำลังเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) การบังคับให้ลูกค้าต้องหยุดดื่มและออกจากร้านหลังเที่ยงคืนในร้านที่ไม่มีใบอนุญาตสถานบริการ นำไปสู่การสูญเสียรายได้จากการ 'นั่งยาว'

นอกจากปัญหาเรื่องเวลาแล้ว ภาคเอกชนยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการตีความกฎหมายที่คลุมเครือ โดยเฉพาะการแยกแยะระหว่าง "การโฆษณา" กับ "การประชาสัมพันธ์" ที่กฎหมายใหม่เปิดช่องให้ทำได้ แต่กฎหมายลูกที่กำหนดแนวทางปฏิบัติกลับยังไม่แล้วเสร็จ

ประภาวี เหมทัศน์ เลขาธิการสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจคราฟท์เบียร์ ระบุว่า ผู้ประกอบการอยู่ในภาวะ “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” แม้จะตั้งใจปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ก็ไม่มีแนวทางที่ชัดเจนให้ยึดถือ และกลัวถูกดำเนินคดีหากตีความข้อกฎหมายคลาดเคลื่อน

ผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากประเทศต่างๆ เริ่มประกาศเตือนพลเมืองตนเองให้ระวังกฎหมายไทย 

สรเทพ โรจน์พจนารัช เปิดเผยว่า ประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศแรกที่ออกมาประกาศเตือนนักท่องเที่ยวให้ระวังการถูกปรับ 10,000 บาท หากนั่งดื่มต่อหลังเวลาห้ามขาย

ขณะที่ สง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร กล่าวเสริมว่า ธุรกิจวิตกว่าความสับสนและความไม่ชัดเจนของกฎหมายจะกลายเป็นอุปสรรคหลักในการท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่น โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรปที่นิยมดื่มตั้งแต่บ่ายถึงค่ำคืน 

ความขัดแย้งเชิงนโยบายนี้ คือการส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกันไปยังตลาดโลกอย่างรุนแรง เนื่องจากรัฐบาลกำลังโปรโมทการเปิดประเทศ แต่กฎหมายใหม่กลับสร้างกติกาที่ซับซ้อนและบทลงโทษที่เข้มงวดต่อพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว ความพยายามในการกระตุ้นเศรษฐกิจจึงอาจสูญเปล่าเพราะความไม่ชัดเจนทางกฎหมายนี้เอง

ข้อเรียกร้องจากภาคเอกชนและฝ่ายการเมือง

ภาคธุรกิจกลางคืนและร้านอาหารจึงเตรียมรวมตัวยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อขอทบทวนและอธิบายความชัดเจนในการบังคับใช้

นอกจากนี้ ข้อเรียกร้องสำคัญยังมุ่งไปที่การปลดล็อกช่วงเวลาห้ามขาย 14.00–17.00 น. นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการปลดล็อกเวลาห้ามขายช่วงบ่ายอย่างเป็นทางการ เนื่องจากมาตรการควบคุมแบบเหมารวมนี้ถูกมองว่า "เกินความจำเป็น" และไม่สอดคล้องกับบริบทการท่องเที่ยวในปัจจุบัน 

แม้ พ.ร.บ. ฉบับใหม่จะเปิดช่องให้มีการกระจายอำนาจไปยังคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัด เพื่อกำหนดมาตรการที่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่ได้ แต่หากกฎหมายลูกยังไม่มา การใช้กลไกนี้เพื่อผ่อนปรนก็ยังไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่

จะเห็นได้ว่ากฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ โดยการขยายความรับผิดทางกฎหมายมาสู่ผู้บริโภคที่ "นั่งติดลม" ในร้านค้า 

แม้ภาครัฐจะยืนยันว่าเป็นการนำข้อห้ามเดิมมาใช้ แต่การกำหนดโทษปรับ 10,000 บาทโดยตรง ถือเป็นการสร้างมาตรฐานการบังคับใช้ที่ไม่เคยมีมาก่อน และส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ F&B และการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ความตึงเครียดของกฎหมายนี้จึงอยู่ที่การพยายาม "ควบคุม" ผลกระทบทางสังคมอย่างเข้มงวด ขณะที่นโยบายเศรษฐกิจเรียกร้องให้ "ผ่อนปรน" 

หากรัฐบาลยังคงมีความล่าช้าในการออกกฎหมายลูกเพื่อสร้างความชัดเจนในการโฆษณาและการกำหนดโซนนิ่งและยังคงยึดติดกับช่วงเวลาห้ามขายที่ล้าสมัย (14.00–17.00 น.) อาจส่งผลให้ความพยายามในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการยกระดับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยต้องสะดุดลง

ทางออกที่เป็นไปได้คือการเร่งรัดกระบวนการออกกฎหมายลูก และใช้กลไกการกระจายอำนาจไปยังคณะกรรมการจังหวัดตามที่กฎหมายใหม่กำหนด เพื่อพิจารณาผ่อนปรนการดื่มในร้านอาหารพื้นที่ท่องเที่ยวโดยเฉพาะ เพื่อให้การควบคุมเป็นไปอย่างมีเหตุผลและไม่กลายเป็นการ "ปิดกั้น" การทำมาหากินของประชาชนในทางปฏิบัติ

อ้างอิง

คมชัดลึก / Thai / PostToday / ฐานเศรษฐกิจ / Times / Cas / CasTh / ฐานเศรษฐกิจ1 / Daily / MaTh1 / MaTh2 / MaTh3 / ฐานเศรษฐกิจ2 / MaTh4 / Siam / TDRI / Pracha / TCI / พ.ร.บ. /

related