
สรุปเหตุการณ์ ชายแดนไทยกัมพูชาเดือดอีกครั้ง ถึงขั้นไทย “ระงับปฏิญญา” สกัดกัมพูชา หลังเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดซ้ำ ชี้เป็น "การรุกล้ำอธิปไตย"
การเผชิญหน้าบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาได้เข้าสู่ช่วงเวลาที่ตึงเครียดที่สุดอีกครั้ง หลังเกิดเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ จนมีผู้บาดเจ็บหนักหลายนาย
เหตุการณ์ดังกล่าวได้จุดชนวนให้รัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ประกาศใช้ "มาตรการตอบโต้ที่เด็ดขาด" โดยชี้ว่าการลักลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตไทย ถือเป็นการ "ละเมิดอธิปไตย" และเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจน
เหตุการณ์ที่เป็นฟางเส้นสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน เมื่อชุดลาดตระเวนของไทยเข้าตรวจสอบแนวกั้นลวดหนามที่ถูกรื้อถอนใกล้กับห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ก่อนที่ทหารจะเหยียบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 จนได้รับบาดเจ็บสาหัส 4 นาย หนึ่งในนั้นข้อเท้าขาด
กองทัพบกไทย แถลงทันทีว่า ทุ่นระเบิดดังกล่าวเป็นการ "ลักลอบเข้ามาวางใหม่" โดยมีเป้าหมายโจมตีกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่
ขณะที่ รัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าทุ่นระเบิดเหล่านั้นเป็น "ทุ่นระเบิดเก่า" ที่หลงเหลือจากสงครามกลางเมือง และแสดงความผิดหวังต่อท่าทีของฝ่ายไทย
เหตุการณ์นี้ได้บั่นทอนความพยายามในการสร้างสันติภาพที่เพิ่งเริ่มต้นเมื่อไม่นานมานี้ โดยเฉพาะการลงนามใน "ปฏิญญาร่วม" (Joint Declaration) ว่าด้วยความร่วมมือด้านชายแดนและการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ระหว่างนายกฯ ไทยและสมเด็จฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา
หลังการประชุมฉุกเฉินของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) นานกว่าสามชั่วโมงเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน รัฐบาลไทยได้ประกาศใช้มาตรการตอบโต้ที่ครอบคลุมทั้ง 3 มิติ ได้แก่
1. การระงับปฏิญญาและการประท้วงทางการทูต
2. การให้อำนาจทหารเต็มที่
ในมิติความมั่นคง รัฐบาลได้ใช้ท่าทีที่แข็งกร้าวและพร้อมเผชิญหน้า โดยนายกฯ อนุทิน ยืนยันว่าได้ให้อำนาจกองทัพในการตัดสินใจจัดการสถานการณ์ชายแดนอย่างเต็มที่ และรัฐบาลจะให้การสนับสนุนทั้งด้านงบประมาณและเครื่องมือ
คำสั่ง "เตรียมรบ": อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี สั่งการให้กระทรวงกลาโหมมีมาตรการทางทหารอย่างเต็มที่เพื่อพิทักษ์รักษาผืนแผ่นดิน โดยย้ำหลักการที่ว่า "แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ"
ยุติการเจรจา: พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่าจะไม่มีการเจรจาใดๆ จากกระทรวงกลาโหม โดยเฉพาะการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) และไทยจะดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ของตนแต่เพียงฝ่ายเดียว
กฎการใช้กำลัง: หากมีการก่อกวนหรือรุกล้ำเข้ามาในเขตไทย (เช่น การรื้อรั้วหรือวางระเบิด) ฝ่ายไทยมี กฎการใช้กำลัง (Rules of Engagement) ที่อนุญาตให้ยิงเตือนด้วยอาวุธเบาหรืออาวุธหนักได้ตามสถานการณ์
3. การดูแลพลเรือน
นายกรัฐมนตรีซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยด้วย สั่งการให้เร่งเตรียมความพร้อมสำหรับพลเรือนใน 7 จังหวัดชายแดนอย่างเต็มที่
ศูนย์อพยพและเยียวยา: มีการเตรียมพร้อมเรื่องศูนย์พักพิง/ศูนย์อพยพ และเงินเยียวยาไว้อย่างครบถ้วน หากมีความจำเป็นต้องอพยพ
ซักซ้อมหลุมหลบภัย: กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานท้องถิ่นได้รับคำสั่งให้ ซักซ้อมในหลุมหลบภัยเป็นประจำอย่างเข้มข้น เพื่อรองรับกรณีมีเหตุฉุกเฉินหรือการปะทะตามแนวชายแดน
การสื่อสาร 24 ชม.: นายกฯ ยืนยันว่าได้เปิดช่องทางการสื่อสารกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ไว้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ท่าทีที่แข็งกร้าวของรัฐบาลไทยและการระงับช่องทางการทูตระดับทหาร (GBC) ย่อมเพิ่มความเสี่ยงให้ความขัดแย้งยกระดับขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีรายงานเสียงคล้ายระเบิดและการยิงก่อกวนบริเวณ จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ซึ่งทำให้ประชาชนทั้งสองฝ่ายต้องอพยพ
การตอบโต้ของไทยเปรียบได้กับการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังกัมพูชาและประชาคมโลก: ไทยจะใช้มาตรการทางทหารเพื่อปกป้องอธิปไตย ในขณะเดียวกันก็ระงับความร่วมมือทางการทูตจนกว่าอีกฝ่ายจะแสดงความรับผิดชอบและลดความเป็นปฏิปักษ์ลง
ที่มา : .bangkokbiznews nationtv.tv
ข่าวที่เกี่ยวข้อง