
SHORT CUT
ปี 2025: วิกฤตวงการสงฆ์ไทย “ฝีแตก” ครั้งใหญ่ที่สุดในหลายทศวรรษ — จากคดีเงิน–สีกา ถึงโครงสร้างรัฐที่อุ้มศาสนา ทำไมพุทธแบบไทยจึงหลุดพ้นการตรวจสอบ
ปี 2025 อาจเป็นปีที่ “วงการสงฆ์ไทย” สั่นสะเทือนหนักที่สุดในรอบหลายสิบปี ข่าวฉาวเรื่องเงิน เรื่องสีกา ไปจนถึงกรณีที่โยงถึงพระชั้นผู้ใหญ่ ถูกเปิดโปงต่อเนื่องแทบทุกเดือนจนกลายเป็น “ปรากฏการณ์” ที่ทำให้สังคมตั้งคำถามถึงโครงสร้างศาสนาพุทธไทยทั้งระบบ
.
ในบทความนี้ SPRINGNews ชวนคุยกับ อาจารย์สุรพศ ทวีศักดิ์ นักวิชาการด้านศาสนา และเจ้าของนามปากกา “นักปรัชญาชายขอบ” เพื่อหาคำตอบว่าเหตุใดพุทธศาสนาแบบไทยจึงกลายเป็นพื้นที่ยากต่อการตรวจสอบ และอะไรคือรากลึกของปัญหาที่ทำให้ “ศาสนาที่ควรปลดปล่อยผู้คน” กลับถูกครอบงำด้วยอำนาจและอภิสิทธิ์แทน
อาจารย์สุรพศเล่าว่า ปีนี้เป็นปรากฏการณ์ระดับ “ฝีแตก” ของวงการผ้าเหลืองอย่างแท้จริง ใหญ่ถึงขั้นเป็นปัญหาระดับชาติ จนรัฐต้องตั้งคณะทำงานหลายชั้น ทั้งตำรวจและหน่วยความมั่นคง เข้ามาตรวจสอบวงการสงฆ์กันเลยทีเดียว
ส่วนสาเหตุที่วงการสงฆ์มีข่าวเสียหายไม่หยุด มันสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างรัฐ เพราะในไทย รัฐธรรมนูญกำหนดให้อุปถัมภ์ศาสนาที่เน้นพุทธเถรวาท มีมาตรการคุ้มครอง เมื่อศาสนาอยู่ใต้ร่มรัฐ งบประมาณ ยศ ศักดิ์ กฎหมาย โครงสร้าง ก็เกิดทั้งอภิสิทธิ์และการควบคุมไปพร้อมกัน ผลคือยากต่อการตรวจสอบจากสังคม
.
แม้คำสอนพุทธะแท้ ๆ จะย้ำเรื่องการใช้เหตุผล เสรีภาพภายใน การเป็นตัวของตัวเอง เมตตา และปัญญา แต่เมื่อศาสนากลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างรัฐ คุณค่าเหล่านี้กลับถูกเบียดออกไป แล้วถูกแทนที่ด้วย “ยศ–ศักดิ์–ตำแหน่ง–ทรัพย์” จนทำให้ความภาคภูมิใจของพระยึดโยงกับสิ่งภายนอก มากกว่าการฝึกฝนภายในอย่างที่พุทธะสอนไว้
อาจารย์สุรพศเล่าต่อว่า แม้ปัจจุบันชุมชนเริ่มลุกขึ้นตรวจสอบบ้าง ไล่เจ้าอาวาสที่ไม่โปร่งใส แต่โครงสร้างแต่งตั้งจาก “ข้างบน” ยังทำให้ประชาชนส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมจำกัด หากศาสนาเป็นเอกชนจริง ๆ ผู้นำสงฆ์ต้องยืนอยู่ได้ด้วยความไว้วางใจของชุมชน ทำดีจึงอยู่รอด ทำแย่ก็อยู่ไม่ได้ ไม่ใช่พึ่งอำนาจและงบรัฐ
ถ้าปล่อยให้สถานการณ์เป็นแบบนี้ต่อไป คนรุ่นใหม่มีแนวโน้มจะ “หันหลังให้สถาบันศาสนา” แต่ไม่ได้หันหลังให้ “คำสอนทางพุทธ” คล้ายยุโรปที่คนยังอ่านคัมภีร์ แต่ไม่ไปโบสถ์ ผลคือบทบาทของสถาบันลดลงเรื่อย ๆ วัดที่คนแน่นมักเป็นวัดกระแส เกี่ยวกับของขลังหรือดวง มากกว่าวัดที่ให้ความรู้หรือพัฒนาปัญญา
สุดท้ายสถาบันแบบอนุรักษนิยมจะทรุดเพราะไม่ยอมเปลี่ยนแปลง
อาจารย์สุรพศเห็นว่าการอ้างว่า “พระอ่อนต่อโลก” เวลาเกิดคดีในปีนี้ เป็นข้อแก้ตัวที่ใช้เบี่ยงประเด็น เพราะความจริงไม่ได้เกี่ยวกับความซื่อหรือไม่ทันคนเลย ส่วนคำว่า “นารีพิฆาตพระ” ก็เป็นวาทกรรมที่บิดเบือนเพื่อลดความผิดของพระ ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือพระกลุ่มนี้มีทักษะสูงมากในการเข้าหาผู้หญิง ทั้งการหยอกล้อ จีบ ใช้อารมณ์ และวางจังหวะอย่างเป็นระบบ ทำได้แนบเนียนยิ่งกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ
ปัญหาแท้จริงคือ พระที่ทำผิดเหล่านี้ “ไร้ยางอาย” รับซอง รับบริจาค ใช้ศรัทธาของประชาชนไปทำเรื่องส่วนตัวแบบไม่สะทกสะท้าน ไม่อายศีลที่ตัวเองสอนด้วยซ้ำ
ยิ่งไปกว่านั้น การปลอมวุฒิ ปั้นประวัติ ตั้งเรื่องโกหก หลอกผู้คนต่อเนื่องเป็นสิบปี—สิ่งเหล่านี้ต้องใช้ทักษะ ไม่ใช่ความซื่อ ความอ่อนโลกแบบนั้นทำไม่ได้ เพราะคนที่ “อ่อนโลกจริง ๆ” ไม่มีทางบริหารภาพลักษณ์และหลอกมวลชนได้นานขนาดนั้น
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า นอกจากนิสัยส่วนตัว ยังมีโครงสร้างที่เอื้อให้พระบางกลุ่มลอยนวลได้ ทั้งยศ ตำแหน่ง และการยกย่องเชิงสถาบันที่ไม่มีระบบตรวจสอบจริงจัง
ดังนั้นคำว่า “อ่อนต่อโลก” จึงเป็นเหมือนฉากควัน ที่ทำให้เรามองข้ามความรับผิดของผู้กระทำ และโยนภาระไปที่เหยื่อหรือสังคมแทน ทั้งที่ข้อเท็จจริงชี้ว่าเป็นเรื่องของ ความตั้งใจ เล่ห์เหลี่ยม และความไม่ละอายของผู้ที่อยู่เหนือการตรวจสอบ มากกว่า
นักวิชาการด้านศาสนา ชี้ว่า ควรแยกศาสนาจากรัฐ ให้องค์กรศาสนาเป็นเอกชน รัฐไม่อุปถัมภ์หรือแทรกแซง แต่คุ้มครองเสรีภาพและความเสมอภาคทางศาสนา เน้นขันติธรรม ไม่มีศาสนาประจำชาติ ผลที่ได้คือประชาชนทุกความเชื่อไม่กลายเป็นพลเมืองชั้นสอง และการดำเนินการต่าง ๆ ของวัดต้องตั้งอยู่บนเหตุผล ตรวจสอบได้ ไม่อ้างอำนาจศักดิ์สิทธิ์
เราต้องกำหนดให้ชัดว่าสังคมควรเป็น “โลกวิสัย” (secular) คือรัฐคุ้มครองเสรีภาพทางศาสนาเต็มที่ แต่ไม่ยอมให้พิธีกรรมหรือความเชื่อใด ๆ ละเมิดสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เช่น ลัทธิที่ชักชวนให้ทำร้ายตัวเองย่อมทำไม่ได้ พร้อมกันนั้น รัฐควรมีระบบตรวจสอบความโปร่งใสขององค์กรศาสนา ทั้งรายรับรายจ่าย แหล่งทุน และกิจกรรมกุศลที่ได้รับยกเว้นภาษี เหมือนบริษัทที่ต้องเปิดเผยงบการเงิน และถ้ากิจกรรมไม่ใช่งานกุศลก็ต้องเสียภาษีเหมือนหน่วยงานอื่น ๆ นี่คือแนวคิดที่แยก “ศรัทธา” ออกจาก “อภิสิทธิ์” อย่างแท้จริง
ญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างที่เห็นชัด พระจำนวนมากหารายได้เลี้ยงตัวเอง ทำงานใกล้ชิดชุมชน ทำพิธีและสอนการภาวนา ความน่าเชื่อถือไม่ได้มาจากตำแหน่งหรือยศ แต่เกิดจากความสามารถและประโยชน์ที่ผู้คนสัมผัสได้จริง
ถ้าไทยเป็นรัฐโลกวิสัย สังคมจะเป็นผู้ตัดสินเองว่าวัดไหนมีคุณค่า วัดไหนไม่ตอบโจทย์ เพราะประชาชนจะเลือกไปเฉพาะวัดที่น่าเชื่อถือและเป็นประโยชน์ ระบบแบบนี้ทำให้วัดหรือพระที่มีปัญหาค่อย ๆ หายไปเอง ไม่สามารถอยู่ต่อได้ด้วยเครือข่ายอุปถัมภ์เหมือนที่ผ่านมา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง