svasdssvasds

ย้อนรอย 'ภาษีหุ้นชินคอร์ป' ปิดฉากคดีมหากาพย์เกือบ 20 ปี

ย้อนรอย 'ภาษีหุ้นชินคอร์ป' ปิดฉากคดีมหากาพย์เกือบ 20 ปี

ย้อนรอย 'ภาษีหุ้นชินคอร์ป' หลังศาลฎีกาพลิกคำพิพากษา “ทักษิณ ชินวัตร” แพ้คดี 1.76 หมื่นล้านบาท ชี้กรมสรรพากรประเมินชอบด้วยกฎหมาย

SHORT CUT

  • ศาลฎีกาพิพากษากลับให้กรมสรรพากรชนะคดีภาษีหุ้นชินคอร์ป ส่งผลให้นายทักษิณ ชินวัตร ต้องชำระภาษีพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวม 17,600 ล้านบาท
  • ศาลชี้ว่านายทักษิณเป็น "ผู้มีเงินได้ที่แท้จริง" และมีเจตนาปกปิดการถือหุ้นผ่านบุคคลอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงข้อกฎหมายและภาษี
  • คำพิพากษาดังกล่าวถือเป็นการปิดฉากการต่อสู้คดีทางแพ่งในกรณีภาษีหุ้นชินคอร์ปที่ยืดเยื้อมาเกือบ 20 ปี

ย้อนรอย 'ภาษีหุ้นชินคอร์ป' หลังศาลฎีกาพลิกคำพิพากษา “ทักษิณ ชินวัตร” แพ้คดี 1.76 หมื่นล้านบาท ชี้กรมสรรพากรประเมินชอบด้วยกฎหมาย

เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาครั้งสำคัญ กลับคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางและศาลอุทธรณ์ ในคดีที่ นายทักษิณ ชินวัตร ยื่นฟ้องกรมสรรพากรกับพวกรวม 4 คน เพื่อขอให้ศาลเพิกถอนการประเมินภาษี โดยคำตัดสินดังกล่าวเป็นการปิดฉากการต่อสู้คดีทางแพ่งเรื่องภาษีอากรในกรณีการขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

คำพิพากษาของศาลฎีกาครั้งนี้ เห็นว่า การประเมินภาษีของกรมสรรพากรเป็นการดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้กรมสรรพากรมีอำนาจในการจัดเก็บ ภาษีเบี้ยปรับ และเงินเพิ่มจากทักษิณ รวมทั้งสิ้น 17,600 ล้านบาท ตามหนังสือแจ้งภาษี ภ.ง.ด.12 ลงวันที่ 28 มีนาคม 2560

พลิกคำตัดสิน 2 ชั้นศาล

ก่อนหน้านี้ ทั้งศาลภาษีอากรกลาง และศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ต่างมีคำพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินภาษีของกรมสรรพากร โดยให้เหตุผลว่า เจ้าพนักงานประเมินกรมสรรพากร มิได้ออกหมายเรียกตรวจสอบ นายทักษิณ ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ในฐานะตัวการ ทำให้การดำเนินการแจ้งภาษีไม่ชอบด้วยกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาได้พิจารณาและมีคำพิพากษาแตกต่างจากศาลล่าง โดยวินิจฉัยสรุปว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ทักษิณเป็น "ผู้มีเงินได้ที่แท้จริง" จากการขายหุ้นชินคอร์ป และการที่โจทก์ปกปิดการถือหุ้นโดยให้บุคคลอื่น รวมถึง นายพานทองเเท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ถือหุ้นแทนนั้น เป็นเพราะโจทก์ประสงค์ที่จะเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองที่กฎหมายห้ามมิให้ถือหุ้นบริษัทดังกล่าว

เหตุผลสำคัญที่ศาลฎีกา "ยกฟ้อง"

ศาลฎีกาได้พิจารณาจากข้อเท็จจริงและสรุปว่า การดำเนินการของนายทักษิณมีลักษณะที่ "ขาดคุณธรรมทางภาษี" และ "ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร" โดยมีประเด็นหลักดังนี้

  • การปกปิดการถือหุ้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายทักษิณได้ปกปิดการถือหุ้นชินคอร์ปฯ โดยให้บุคคลอื่น รวมถึง นายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ถือหุ้นแทน
  • วัตถุประสงค์เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย การดำเนินการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะสามารถเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองได้ เนื่องจากกฎหมายขณะนั้นห้ามไม่ให้ถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ
  • ธุรกรรมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลมองว่าการกระทำนี้เป็น "ธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง" และ "ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ" นอกเหนือจากการหาประโยชน์ รวมถึงการหลีกเลี่ยงภาษี
  • ผลกระทบต่อรัฐ ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
  • ไม่มีเหตุลดหย่อน เมื่อเป็นการกระทำที่ร้ายแรง จึงไม่มีเหตุที่ศาลจะงดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มให้กับโจทก์ได้

ย้อนไทม์ไลน์การต่อสู้คดี 'ภาษีหุ้นชินคอร์ป' 

  • 2549 - 2552 กรมสรรพากรประเมินภาษีการโอนหุ้นกับนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ในฐานะตัวแทนของนายทักษิณ
  • 28 มี.ค. 2560 กรมสรรพากรออกหนังสือแจ้งภาษี (ภ.ง.ด.12) ให้นายทักษิณชำระภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม รวม 1.76 หมื่นล้านบาท
  • 18 ก.ค. 2565 ศาลภาษีอากรกลาง มีคำพิพากษาเพิกถอนการประเมินภาษี โดยให้เหตุผลว่าเจ้าพนักงานไม่ได้ออกหมายเรียกตรวจสอบนายทักษิณตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ทำให้การประเมินไม่ชอบด้วยกฎหมาย
  • 2 มิ.ย. 2566 ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พิพากษายืนตามคำตัดสินของศาลภาษีอากรกลาง
  • 17 พ.ย. 2568 ศาลฎีกา พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องคดีของนายทักษิณ ส่งผลให้การประเมินภาษีของกรมสรรพากรมีผลบังคับใช้

 

 

ขั้นตอนต่อไปของกรมสรรพากร

หลังจากนี้ กรมสรรพากรจะนำคำพิพากษาศาลฎีกามาพิจารณาเพื่อดำเนินการบังคับคดีจัดเก็บ ภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม รวม 17,600 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเข้าเป็นรายได้ของแผ่นดินในปีงบประมาณ 2569 กรมสรรพากรจะต้องยื่นขอให้ออกหมายบังคับคดี ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน

ต้นเหตุคดีประเมินภาษีปี 2549-2552

สำหรับคดีดังกล่าวได้ดำเนินคดีภายหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาคดีร่ำรวยผิดปกติ โดยมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์สินในส่วนของนายทักษิณ และครอบครัว ที่ได้จากการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 46,000 ล้านบาท พร้อมดอกผลให้ตกเป็นทรัพย์ของแผ่นดิน

ทั้งนี้ ระหว่างปี 2549-2552 กรมสรรพากรได้ประเมินภาษีการโอนหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) กับพานทองแท้ ชินวัตร และพินทองทา ชินวัตร ที่เป็นตัวแทนของทักษิณ ซึ่งทำให้กรมสรรพากรต้องดำเนินการเก็บภาษีจากบุคคลทั้งสอง รวมวงเงิน 17,000 ล้านบาท และนำมาสู่การฟ้องร้องคดีนี้เมื่อนายทักษิณเห็นว่ากรมสรรพากรดำเนินการไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ข้อมูลทรัพย์สินของทักษิณ ชินวัตร

  • นิตยสาร Forbes รายงานในปี 2568 ว่านายทักษิณมีทรัพย์สินรวมมูลค่า 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7.2 หมื่นล้านบาท
  • ทรัพย์สินดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากช่วงปี 2564-2565 ซึ่งอยู่ที่ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • ทักษิณถูกจัดเป็นบุคคลที่ร่ำรวยเป็นอันดับที่ 15 ของประเทศไทย และอันดับที่ 1,688 ของโลก

'ชินวัตร' เผชิญคดีมาตรา 112

ทักษิณยังเป็นจำเลยในคดีดูหมิ่นสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งแม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องไปแล้ว แต่อัยการสูงสุดมีความเห็นควรยื่นอุทธรณ์คดีต่อ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 นางสาวพินทองทา ชินวัตร ได้เปิดเผยว่านายทักษิณรู้สึก "เสียใจและเจ็บช้ำ" จากกรณีดังกล่าว และยืนยันว่าจะต่อสู้เพื่อความยุติธรรมต่อไป

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

related