
SHORT CUT
ท่ามกลางสงครามกาซา–ซูดาน–ยูเครน ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกถกทางแก้: สันติภาพไม่เกิดขึ้นได้ หากละเลยความจริงหน้างานและบริบทท้องถิ่น
เคยสังเกตกันไหมว่า ทำไมสันติภาพในหลายพื้นที่ของโลกถึงพังทลายลงอย่างรวดเร็ว ทั้งที่เพิ่งลงนามไปไม่นาน? ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงหยุดยิงที่ไม่ทันข้ามปี การเจรจาที่วนกลับไปเริ่มต้นใหม่ หรือการกลับมาของความรุนแรงที่ดูเหมือนจะไม่เคยหายไปจริง ๆ ปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นคำถามใหญ่ของยุคเรา แท้จริงแล้ว เราพลาดอะไรไปในการสร้างสันติภาพ?
แม้จะมีการเจรจาและลงนามข้อตกลงสันติภาพมากมายในห้วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่ความจริงที่ทุกคนต้องเผชิญก็คือ เกือบ 40% ของข้อตกลงเหล่านี้ล้มเหลวภายในเวลาเพียงห้าปี ตัวเลขที่สะท้อนความเปราะบางของสันติภาพทั่วโลกอย่างเจ็บปวด และเป็นคำถามใหญ่ที่ผู้เชี่ยวชาญพยายามตามหา "คำตอบ"
ในงาน Pearson Global Forum 2024 เวทีระหว่างประเทศที่จัดขึ้นเพื่อถกประเด็น รากของความขัดแย้งและเส้นทางสู่สันติภาพ บรรดานักวิจัย ผู้กำหนดนโยบาย และผู้ปฏิบัติงานด้านสันติภาพจากทั่วโลกต่างร่วมแลกเปลี่ยนว่าการสร้างความสงบถาวรในยุคที่ความขัดแย้งซับซ้อนนั้นควรเริ่มต้นอย่างไร และเหตุใดข้อตกลงสันติภาพจำนวนมากจึงไม่สามารถยืนระยะได้
หนึ่งในบทเรียนที่ผู้ร่วมเสวนาย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าคือ สันติภาพไม่อาจถูกกำหนดจากส่วนกลางเพียงอย่างเดียว หากยังไม่เข้าใจรากของปัญหาในระดับชุมชน
ก่อนจะพูดถึงการเจรจา ผู้ร่วมเสวนาหลายคนย้อนกลับไปยัง “จุดเริ่มต้นของปัญหา” ซึ่งคืออาวุธที่ยังหลั่งไหลเข้าสู่พื้นที่ขัดแย้งอยู่ตลอดเวลา สรุปอย่างตรงไปตรงมาว่า “จะสร้างสันติภาพได้อย่างไร ในเมื่ออาวุธยังถูกส่งเข้ามาทุกวัน?”
ตัวอย่างชัดเจนมาจากประสบการณ์ของ มาริโอ เวเนกัส วิกนอล (Mario Venegas Wignall) นักศึกษาจาก Harris School of Public Policy ผู้เคยทำงานกับองค์กร Fambul Tok ในเซียร์ราลีโอน เขาเล่าว่า การปรองดองที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากคำสั่งจากเมืองหลวงหรือการออกแบบนโยบายขนาดใหญ่ แต่เริ่มต้นจาก “หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ผู้คนต้องฟื้นฟูความสัมพันธ์กันด้วยวิธีของพวกเขาเอง”
แนวคิดนี้สอดคล้องกับเสียงสะท้อนจากวิทยากรหลายคนในงานว่า สันติภาพที่ยั่งยืนต้องออกแบบโดยยึดตามบริบท วัฒนธรรม และความจริงของแต่ละพื้นที่ ไม่ใช่นำโมเดลสากลไปปรับใช้แบบสำเร็จรูป เพราะสิ่งที่ใช้ได้ในประเทศหนึ่งอาจใช้ไม่ได้เลยในอีกประเทศหนึ่ง
เพราะตราบใดที่รัฐและกองกำลังนอกระบบยังได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธ ความรุนแรงก็ไม่มีวันลดลง และการเจรจาก็ยิ่งไม่อาจเกิดขึ้นจริง
ความท้าทายเหล่านี้เห็นได้ชัดเจนในหลายจุดของโลก จากสงครามในกาซาที่ทำให้การเจรจาไม่มีที่ยืน ไปจนถึงซูดานที่การเจรจาซึ่งเคยนำโดยฝ่ายพลเรือนกลับถูกทำลายลงเมื่อกองกำลังทหารแยกขั้วและเปิดศึกต่อกันจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง และนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในดาร์ฟูร์
แม้แต่ในสหรัฐเอง ผลสำรวจ Pearson/NORC ยังสะท้อนความแบ่งแยกอย่างหนักเกี่ยวกับสงครามในกาซา ชาวอเมริกันส่วนใหญ่โยนความรับผิดชอบไปยังฮามาส อิสราเอล และอิหร่าน ขณะที่ครึ่งหนึ่งก็เห็นว่าสหรัฐเองมีส่วนทำให้สงครามดำเนินต่อไปด้วย
แม้การสนทนาในงานจะเต็มไปด้วยเรื่องราวของความล้มเหลวซ้ำซากในกระบวนการสันติภาพทั่วโลก แต่ Pearson Global Forum ก็ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงด้านมืดของความขัดแย้งเท่านั้น กลับกัน หลายกรณีศึกษาถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อให้เห็นว่า “ความเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้จริง” หากกระบวนการถูกออกแบบอย่างเหมาะสมกับบริบทที่มันเกิดขึ้น
หนึ่งในตัวอย่างที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ โคลอมเบีย ประเทศที่ใช้เวลากว่า ครึ่งศตวรรษ ต่อรองกับกองกำลัง FARC ท่ามกลางความสูญเสียที่ดูจะไม่สิ้นสุด แต่สุดท้ายก็สามารถบรรลุข้อตกลงสันติภาพในปี 2016—ข้อตกลงที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่ถือเป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า “ความสำเร็จ” สามารถเกิดขึ้นได้แม้ในพื้นที่ที่เคยถูกนิยามว่าไม่มีวันเจรจากันได้
ขณะที่อีกมุมหนึ่งของโลก การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน ไอร์แลนด์เหนือ ก็ยืนยันแนวคิดนี้เช่นกัน ความสำเร็จของกระบวนการสันติภาพในปี 1998 ไม่ได้เกิดจากอำนาจรัฐเพียงฝ่ายเดียว แต่เกิดจากการเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงเข้ามามีส่วนร่วมในการเจรจา เสียงที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองข้ามแต่กลับกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยลดความตึงเครียดและผลักดันให้กองกำลังกึ่งทหารหลายกลุ่มยอมปลดอาวุธในเวลาต่อมา
ตัวอย่างทั้งสองประเทศชี้ให้เห็นจุดร่วมสำคัญอย่างหนึ่ง แม้ความขัดแย้งจะยืดเยื้อเพียงใด ก็ยังมีโอกาสเปลี่ยนทิศทางได้ หากกระบวนการสันติภาพถูกออกแบบอย่างเข้าใจมนุษย์ เข้าใจบริบท และเปิดพื้นที่ให้เสียงที่หลากหลาย
แม้หลายคนจะเชื่อว่าสันติภาพเป็นสภาวะธรรมชาติที่มนุษย์ควรมี แต่ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์และมุมมองของนักคิด กลับชี้ว่าความจริงตรงกันข้ามมาโดยตลอด มนุษย์ในสังคมโบราณใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง การช่วงชิงทรัพยากร และความรุนแรงระหว่างเผ่าพันธุ์ ทำให้ “สงคราม” คือสภาพที่เกิดขึ้นเป็นปกติ ส่วน “สันติภาพ” เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างการสู้รบ ไม่มีสถานะถาวรหรือถูกยกย่องเป็นคุณค่าทางสังคมเหมือนเช่นปัจจุบัน
จุดเปลี่ยนที่ทำให้สันติภาพเริ่มกลายเป็นแนวคิดที่มีความหมาย เกิดขึ้นในยุคสมัยใหม่ เมื่อรัฐเริ่มสร้างระบบกฎหมาย สนธิสัญญา และกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อคุมความรุนแรงให้ “หยุดนานขึ้น” จากเดิมที่เป็นเพียงสงบศึกชั่วคราว สังคมยุโรปและอเมริกาเริ่มมองสันติภาพในฐานะ “สิ่งที่ต้องสร้าง” ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ นี่ทำให้สันติภาพค่อยๆ พัฒนาเป็นสถาบันทางสังคม เช่นเดียวกับศาสนา การปกครอง หรือระบบเศรษฐกิจ
เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐสมัยใหม่เริ่มให้ความสำคัญกับการป้องกันมากกว่าการรุกราน หน่วยงาน “War Department” ของสหรัฐฯ ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “Defense Department” ซึ่งสะท้อนความพยายามทางวัฒนธรรมและการเมืองที่จะทำให้สันติภาพเป็นมาตรฐานพื้นฐานของสังคม ไม่ใช่สงคราม การสร้างอัตลักษณ์แบบ “รัฐผู้พิทักษ์” แทน “รัฐนักรบ” คือหนึ่งในสัญญาณสำคัญว่ามนุษย์เริ่มเชื่อว่าสันติภาพสามารถถูก “ออกแบบ” และ “บำรุงรักษา” ได้
อย่างไรก็ตาม แรงผลักดันบางกระแสในสังคมร่วมสมัยกำลังพยายามดึงโลกกลับสู่ยุคที่สงครามถูกทำให้เป็นเรื่องปกติ การใช้ถ้อยคำเชิงทหารหรือการรื้อฟื้นกรอบคิดเก่าๆ อาจบ่อนทำลายสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่างยากลำบากตลอดหลายศตวรรษ หากสันติภาพคือสิ่งประดิษฐ์ที่ต้องอาศัยกลไกทางสังคมเพื่อค้ำจุน ก็หมายความว่า เมื่อไหร่ที่ผู้คนเลิกยืนยันคุณค่าของมัน สันติภาพก็สามารถพังทลายได้ง่ายพอๆ กับสิ่งประดิษฐ์ใดๆ ในประวัติศาสตร์มนุษย์เอง
ที่มา : news ,psychologytoday
ข่าวที่เกี่ยวข้อง