svasdssvasds

ทำไมคริสต์มาสถึงทำให้เราใช้เงินเกินตัวทุกปี จิตวิทยาตอบได้ !

ทำไมคริสต์มาสถึงทำให้เราใช้เงินเกินตัวทุกปี จิตวิทยาตอบได้ !

ทำไมคนมีวินัยทางการเงินยังใช้เงินเกินตัวทุกคริสต์มาส เมื่อความอยากและอารมณ์ร่วมมือกันโค่นเหตุผลของเราจนหมดสิ้น

SHORT CUT

  • ช่วงคริสต์มาส เราใช้เงินเกินตัวไม่ใช่เพราะขาดวินัย แต่เพราะ “ความอยาก” จับมือกับ “ตัวตนและศักดิ์ศรี” จนเหตุผลสู้ไม่ไหว
  • โฆษณาและวัฒนธรรมบริโภคกระตุ้นให้การซื้อกลายเป็นเรื่องของการพิสูจน์ความรัก ความเป็นคนดี และการไม่ทำให้ใครผิดหวัง
  • ทางออกไม่ใช่ฝืนใจหรือเพิ่มวินัย แต่คือการจัดระเบียบจิตใจใหม่ ให้เหตุผล ความรู้สึก และความอยากอยู่ในกรอบเดียวกันอย่างสมดุล

ทำไมคนมีวินัยทางการเงินยังใช้เงินเกินตัวทุกคริสต์มาส เมื่อความอยากและอารมณ์ร่วมมือกันโค่นเหตุผลของเราจนหมดสิ้น

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมทุกครั้งที่ปลายปีใกล้เข้ามา เงินในบัญชีถึงละลายเร็วกว่าปกติ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเราก็ใช้ชีวิตอย่างมีสติ คุมงบได้ดี และรู้ชัดเจนว่าอะไรควรหรือไม่ควรซื้อ แต่พอเข้าสู่ช่วงคริสต์มาสและปีใหม่กลับกลายเป็นใช้เงินเกินตัวทุกครั้ง

สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่การใช้เงิน แต่คือความล้มเหลวของความตั้งใจอย่างมีเหตุผล หลายคนไม่ใช่ขาดวินัย พวกเขาจัดการงบประมาณ ทำงานซับซ้อน และควบคุมตัวเองได้ดีในชีวิตประจำวัน แต่พอถึงเทศกาลปลายปี เหมือนมีบางอย่างเข้ามาทำให้เหตุผลอ่อนแรง 

เข้าใจตัวตนและศักดิ์ศรี 

คำตอบนี้ย้อนกลับไปไกลถึงนักปรัชญาเมื่อสองพันกว่าปีก่อน เพลโตเคยอธิบายว่า จิตใจมนุษย์ไม่ได้มีแค่เหตุผลกับความอยาก แต่ประกอบด้วยสามส่วนคือ เหตุผล ความใคร่ และสิ่งที่เรียกว่า “จิตใจด้านศักดิ์ศรีและตัวตน” ซึ่งเกี่ยวกับความภาคภูมิใจ เกียรติยศ ความเป็นคนแบบที่เราอยากเป็น

เพลโตชี้ให้เห็นสิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือจิตใจด้านศักดิ์ศรีไม่ได้เข้าข้างเหตุผลเสมอ มันสามารถไปจับมือกับความอยากได้ และเมื่อสองอย่างนี้ร่วมมือกัน เหตุผลแทบไม่มีโอกาสชนะเลย

นี่แหละคือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงคริสต์มาส ความอยากเริ่มต้นจากเรื่องง่าย ๆ เช่น อยากได้ของขวัญที่ดูดี อยากจัดบ้านให้สวย อยากให้เช้าวันคริสต์มาสดูพิเศษ เหตุผลอาจยังทำงานอยู่ บอกเราว่างบไม่พอ ของเก่ายังใช้ได้ อาจไม่จำด้วยซ้ำว่าแพงแค่ไหน แต่แล้ว “ตัวตน” ก็เข้ามาเสริมพลังให้ความอยาก คำถามเปลี่ยนจาก “ฉันจ่ายไหวไหม” เป็น “ถ้าไม่ทำแบบนี้ ฉันจะเป็นคนแบบไหน”

การตลาดที่ทำให้เราใช้เงิน 

วัฒนธรรมการบริโภคสมัยใหม่เข้าใจจุดนี้ดีมาก โฆษณาไม่ได้ขายแค่สินค้า แต่ขายความหมาย สินค้ากลายเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ความอบอุ่น ความทรงจำ และการเป็น “คนที่ดีพอ” ในสายตาคนอื่น ความอยากได้ของจับต้องได้ผสานเข้ากับความอยากยืนยันตัวตนอย่างแนบเนียน จนเราแทบไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกผลักให้ใช้เงินเพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของตัวเอง

เมื่อเข้าใจกลไกนี้ เราจะเห็นทันทีว่าทำไม “ตั้งใจว่าจะประหยัด” ถึงล้มเหลวซ้ำซาก เพราะนั่นคือการใช้พลังเหตุผลไปกดทับแรงสองด้านพร้อมกัน ทั้งความอยากและความกดดันทางอารมณ์ ยิ่งเหนื่อย ยิ่งเครียด เหตุผลยิ่งอ่อนแรง และพันธมิตรเดิมก็กลับมาคุมเกม

ทำไมคริสต์มาสถึงทำให้เราใช้เงินเกินตัวทุกปี จิตวิทยาตอบได้ !

ทางออกจึงไม่ใช่การบังคับใจให้แข็งขึ้น แต่คือการจัดระเบียบจิตใจใหม่ เพลโตเรียกสิ่งนี้ว่า “รัฐธรรมนูญของจิตใจ” คือสภาพที่เหตุผล ความรู้สึก และความอยากต่างยอมรับกรอบเดียวกัน คนแบบนี้ไม่ได้ต้องฝืนใจตลอดเวลา แต่เป็นคนที่ไม่ผูกความรักหรือคุณค่าของตัวเองไว้กับการบริโภคตั้งแต่แรก ความอยากยังมี ความรู้สึกยังสำคัญ แต่ทั้งหมดอยู่ในระบบที่ไม่ทำร้ายชีวิตระยะยาว

ถ้าคุณกำลังอ่านบทความนี้ใกล้คริสต์มาส และรู้สึกถึงแรงกดดันนั้นอยู่แล้ว ไม่เป็นไร อย่างน้อยการรู้เท่าทันก็ช่วยให้เราเว้นระยะห่างจากมันได้บ้าง ลองสังเกตว่าความรู้สึกผิด ความกลัวการถูกตัดสิน หรือคำว่า “ฉันต้อง” กำลังพาคุณไปไกลแค่ไหน และถามตัวเองว่า นี่คือเสียงของตัวตนที่คุณเลือกจริง ๆ หรือเป็นเพียงแรงกดดันที่ถูกสร้างขึ้นอย่างแยบยล

บางครั้งคำตอบอาจยังเป็น “ใช่ ฉันอยากซื้อ” และนั่นก็ไม่ผิด ประเด็นไม่ใช่การปฏิเสธทุกความอยาก แต่คือการรู้ว่าใครเป็นคนคุมพวงมาลัยในจิตใจเรา

ในท้ายที่สุด เพลโตไม่ได้สอนให้เราตัดขาดจากความสุขหรืออารมณ์ แต่ชี้ให้เห็นว่าความยุติธรรมในตัวคนคือการที่แต่ละส่วนของจิตใจทำหน้าที่ของตนโดยไม่ล้ำเส้นกัน เหตุผลคิด ความรู้สึกสนับสนุน และความอยากดำเนินไปในขอบเขตที่ไม่ทำลายทั้งชีวิต

ที่มา : psychologytoday

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

 

related