
ทำไม "All I Want for Christmas Is You" ถึงเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีวันเหือดแห้ง ของ มารายห์ แครีย์ - จะเป็นไวรัลทุกปี และตลอดไป
หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพแบบชัดๆ ในโลกนี้มีเพียงสามสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ : ภาษี, ความตาย และเสียงเพลงของ มารายห์ แครีย์ (Mariah Carey) ในทุกเดือนธันวาคม นั่นคือเพลง "All I Want for Christmas Is You
เพราะทันทีที่เข้าสู่วันที่ 1 พฤศจิกายน ทั่วโลกต่างรับรู้สัญญาณเมื่อ "ราชินีแห่งคริสต์มาส" โพสต์วิดีโอประกาศวลีเด็ด "It’s Time" (ถึงเวลาแล้ว) นั่นหมายความว่าฤดูกาลแห่งการเฉลิมฉลอง และฤดูกาลแห่งการกวาดรายได้ของเธอ - ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เพลง "All I Want for Christmas Is You" ไม่ได้เป็นเพียงแค่เพลงฮิต แต่ได้กลายเป็น "หมุดหมายทางวัฒนธรรม" ของโลกไปแล้ว และนี่คือ "สินทรัพย์ทางการเงิน" ที่ทรงพลังที่สุดชิ้นหนึ่งในประวัติศาสตร์ดนตรียุคใหม่
เพลง "All I Want for Christmas Is You" ได้เปลี่ยนอะไรไปหลายอย่าง อาทิ เปลี่ยนชีวิตของ มารายห์ แครีย์ จาก "ความเสี่ยงในอาชีพ" สู่ "กองทุนบำนาญ" เพราะเพลงนี้ทำเงินปีแล้วปีเล่า ไม่จบไม่สิ้น
ย้อนกลับไปในปี 1994 มารายห์ แครีย์ บนวัย 25 ปี เป็นศิลปินสาวที่กำลังรุ่งโรจน์จากอัลบั้มสตูดิโอ 3 ชุดแรก เมื่อค่ายเพลง Columbia Records เสนอไอเดียให้เธอทำ "อัลบั้มคริสต์มาส" ปฏิกิริยาแรกของวงการคือความงุนงง
ในยุคนั้น ธรรมเนียมปฏิบัติของการทำอัลบั้มเพลงเทศกาลมักสงวนไว้สำหรับศิลปินรุ่นใหญ่ที่อยู่ในช่วงขาลง หรือเป็นงานระดับตำนานอย่าง Bing Crosby หรือ Frank Sinatra ดังนั้น การที่ศิลปินสาวอายุ 20 ต้นๆ จะลุกขึ้นมาทำเพลงคริสต์มาสถือเป็นเรื่อง "เร็วเกินไป" และอาจดูเหมือนการฆ่าตัวตายทางอาชีพ
แต่มารายห์ และ วอลเตอร์ อฟานาเซียฟฟ์ (Walter Afanasieff) โปรดิวเซอร์คู่ใจ กลับเลือกที่จะเดินหน้า พวกเขาร่วมกันแต่งและโปรดิวซ์เพลงนี้ขึ้นมา โดยใช้เวลาเพียงไม่นานในการขึ้นโครงสร้างเพลง
"ฉันไม่ได้อยากได้ของขวัญมากมาย... ฉันแค่อยากได้ 'คุณ' มาเป็นของขวัญ"
เนื้อหาที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังนี้ ถูกห่อหุ้มด้วยดนตรีจังหวะเร็ว (Uptempo) ผสมผสานเสียงระฆัง เสียงประสานแบบกอสเปล (Gospel) และซินธิไซเซอร์ (Synthesizers) ผลลัพธ์ที่ได้คือเพลงรักที่สดใส ร่าเริง และแตกต่างจากเพลงคริสต์มาสส่วนใหญ่ที่มักจะเน้นความเคร่งขรึม
นิตยสาร The New Yorker ถึงกับยกย่องในเวลาต่อมาว่า นี่คือ "หนึ่งในเพลงสมัยใหม่เพียงไม่กี่เพลงที่คู่ควรแก่การถูกบันทึกในทำเนียบเพลงเทศกาลระดับตำนาน"
เคยสงสัยไหมว่าทำไมเพลงป๊อปยุคปัจจุบันถึงมาไวไปไว ยิ่งในยุคโลกออนไลน์ อายุเพลงจะสั้นมากๆ แต่เพลงนี้กลับอยู่เป็นตำนาน ? คำตอบอยู่ที่ "ความซับซ้อนที่ซ่อนอยู่ในความเรียบง่าย"
นักวิเคราะห์ดนตรีชี้ว่า ในขณะที่เพลงฮิตปัจจุบันอาจใช้คอร์ดเพียง 4 คอร์ดวนไปมา แต่ All I Want for Christmas Is You ใช้คอร์ดดนตรีแจ๊สที่ซับซ้อนถึง 13 คอร์ด ส่งผลให้เกิด "พื้นที่ทางอารมณ์" (Harmonic Landscape) ที่หลากหลาย ทั้งตื่นเต้น เหงา และมีความหวัง สอดคล้องกับจิตวิทยาของช่วงเทศกาลที่ผู้คนมักโหยหาความอบอุ่นและการกลับมาพบเจอกัน
ความสำเร็จของเพลงนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ยอดขายแผ่นเสียง การมาถึงของยุคดิจิทัลและสตรีมมิง (Spotify, Apple Music) เปรียบเสมือนการติดปีกให้เพลงนี้กลายเป็นไวรัลระดับโลก
วัฒนธรรม Ber-Months: ในประเทศอย่างฟิลิปปินส์ การเฉลิมฉลองเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายน (เดือนที่ลงท้ายด้วย -ber) ส่งผลให้ยอดสตรีมเพลงนี้เริ่มขยับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ปลายไตรมาส 3 ของทุกปี
การตลาดที่ชาญฉลาด: ทีมงานของมารายห์เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ พวกเขาสร้างกระแสผ่านโซเชียลมีเดีย ใช้เพลงประกอบภาพยนตร์ Love Actually (2003) เพื่อรักษาความนิยม และรีมาสเตอร์เพลงในเวอร์ชันต่างๆ
นี่เป็นเพลงที่ใช้เวลานานที่สุด (25 ปี) กว่าจะขึ้นอันดับ 1 Billboard Hot 100 ได้สำเร็จในปี 2019
ในปี 2025 สร้างสถิติครองอันดับ 1 ยาวนานที่สุดสะสมรวม 20 สัปดาห์ (สะสมจากทุกปี นับตั้งแต่ปี 2019–2025)
ได้รับการรับรองระดับ Diamond Certified ในหลายประเทศ ด้วยยอดขายกว่า 20 ล้านชุด
ในมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ เพลงคริสต์มาสระดับตำนานไม่ใช่แค่ "เพลง" แต่เป็น "สินทรัพย์ลงทุน" (Investment Asset) ที่ให้ผลตอบแทนสูงและสม่ำเสมอ (Passive Income) ยิ่งกว่าหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์บางประเภทเสียอีก
ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย Montclair อธิบายว่า เพลงคริสต์มาสทำงานกับ "ความทรงจำ" ของมนุษย์ เมื่อเพลงดังขึ้น มันพาเราย้อนกลับไปสู่วัยเด็ก ช่วงเวลาที่อบอุ่นหน้าเตาผิง หรือการรวมตัวของครอบครัว ความผูกพันทางอารมณ์นี้เองที่ทำให้เพลง "ขายได้" ทุกปีโดยไม่ต้องโฆษณา
ตามกฎหมายลิขสิทธิ์สากล การคุ้มครองจะครอบคลุมตลอดอายุของผู้ประพันธ์และต่อไปอีก 70 ปีหลังเสียชีวิต นั่นหมายความว่า All I Want for Christmas Is You จะยังคงทำเงินให้กับทายาทของมารายห์ไปได้อีกนับศตวรรษ
สำนักข่าว AP และ The Economist ประเมินว่า ณ ปี 2023 เพลงนี้ทำรายได้รวมไปแล้วกว่า 100 ล้านดอลลาร์ (ราว 3,600 ล้านบาท)
เฉพาะค่าลิขสิทธิ์รายปี คาดการณ์ว่ามารายห์ได้รับเช็คเฉลี่ยปีละ 2.5 - 3 ล้านดอลลาร์ โดยแทบไม่ต้องทำงานเพิ่ม
เมื่อเทียบกับเพลงคริสต์มาสฮิตอื่นๆ (ข้อมูลจาก RadioX):
Slade - Merry Christmas Everybody: ~626,000 ดอลลาร์/ปี
Wham! - Last Christmas: ~376,000 ดอลลาร์/ปี
แม้จะมีคู่แข่ง แต่เพลงของมารายห์ครองความได้เปรียบในยุคสตรีมมิงและการนำไปใช้ในสื่อสมัยใหม่ ทำให้มูลค่าของ "สินทรัพย์" ชิ้นนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจ
จากจุดเริ่มต้นในปี 1994 ท่ามกลางความสงสัยของผู้คน วันนี้ All I Want for Christmas Is You ได้พิสูจน์แล้วว่า มันคือส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างอัจฉริยภาพทางดนตรี การตลาดที่ปรับตัวตามยุคสมัย และจิตวิทยาความผูกพันของมนุษย์
ตราบใดที่โลกยังหมุนเข้าสู่เดือนธันวาคม ตราบใดที่ผู้คนยังโหยหาความสุขและการเฉลิมฉลอง เสียงของมารายห์ แครีย์ จะยังคงดังก้อง และเม็ดเงินก็จะยังคงหลั่งไหลเข้าสู่กระเป๋าของเธอ เป็นของขวัญคริสต์มาสที่เธอสร้างขึ้นด้วยตัวเอง... และโลกทั้งใบก็เต็มใจมอบให้เธอ
ที่มา : cnbc montclair northeastern
ข่าวที่เกี่ยวข้อง