svasdssvasds

รู้ทันภาวะ Avatar syndrome ดูหนังจบทำให้ไม่อยากกลับสู่โลกจริง

รู้ทันภาวะ Avatar syndrome ดูหนังจบทำให้ไม่อยากกลับสู่โลกจริง

Post-Avatar Depression Syndrome: ภาวะใจหวิวหลังดู Avatar ที่สะท้อนความโหยหาโลกที่สวยงามจนไม่อยากกลับสู่โลกความจริง

SHORT CUT

  • Avatar syndrome หรือ Post-Avatar Depression Syndrome ไม่ใช่โรคทางการแพทย์ แต่คือความรู้สึกว่างเปล่า หดหู่ หรือไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตจริง หลังหลุดออกจากโลกในภาพยนตร์ที่งดงามและมีความหมายมากกว่าโลกจริง
  • โลกของแพนดอราสะท้อนชีวิตที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ ความเรียบง่าย และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต ซึ่งตรงข้ามกับชีวิตสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ ความโดดเดี่ยว และวิกฤตสิ่งแวดล้อม ทำให้ผู้ชมบางคนรู้สึก “สูญเสีย” เมื่อเรื่องจบลง
  • แม้ Avatar syndrome จะฟังดูเป็นภาวะด้านลบ แต่นักวิชาการมองว่ามันสามารถกระตุ้นให้ผู้ชมกลับมาเชื่อมต่อกับธรรมชาติ และใส่ใจประเด็นสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การเปลี่ยนความรู้สึกหลังดูหนังให้เป็นแรงผลักดัน จึงอาจเป็นทางออกที่สร้างสรรค์กว่าการปล่อยให้ความเศร้าค้างคา

Post-Avatar Depression Syndrome: ภาวะใจหวิวหลังดู Avatar ที่สะท้อนความโหยหาโลกที่สวยงามจนไม่อยากกลับสู่โลกความจริง

เคยไหม ดู Avatar จบแล้วไม่อยากลุกออกจากโรง รู้สึกใจหวิว ๆ เหมือนยังค้างคาใจ  หลังไฟในโรงดับลง กลับรู้สึกเศร้า ว่างเปล่า หรือไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตจริง ความรู้สึกประหลาดนี้ถูกเรียกกันว่า Post-Avatar Depression Syndrome (PADS) หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ Avatar syndrome

หลังจากภาพยนตร์ Avatar ของเจมส์ คาเมรอน ออกฉายครั้งแรกในปี 2009 ผู้ชมจำนวนหนึ่งทั่วโลกเริ่มพูดถึงความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นหลังเดินออกจากโรงภาพยนตร์ นั่นคือความเศร้า ว่างเปล่า หรือรู้สึกไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ

Avatar syndrome คืออะไร 

Avatar syndrome ไม่ใช่โรคทางจิตเวชที่ได้รับการรับรองในเชิงการแพทย์ หากแต่เป็นคำที่แฟนภาพยนตร์และนักวิจารณ์ใช้เรียกประสบการณ์ร่วมทางอารมณ์ของผู้ชมบางกลุ่ม ซึ่งรู้สึกว่าชีวิตจริงหลังดูหนังนั้นขาดความหมายและความงดงาม เมื่อเทียบกับโลกในจอภาพยนตร์ ปรากฏการณ์นี้ถูกถกเถียงอย่างจริงจังในฟอรัมออนไลน์ตั้งแต่ยุคแรกของ Avatar แรก จนถึงภาคสอง Avatar: The Way of Water' ' และกลายเป็นกรณีศึกษาทางวัฒนธรรมว่าภาพยนตร์สามารถส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้ชมได้ลึกเพียงใด

รู้ทันภาวะ Avatar syndrome ดูหนังจบทำให้ไม่อยากกลับสู่โลกจริง

หัวใจสำคัญของ Avatar syndrome อยู่ที่โลกของ “แพนดอรา” ดาวเคราะห์สมมติที่ถูกออกแบบให้เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ ความงามทางธรรมชาติ และสายสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต เผ่า Na’vi ในเรื่องใช้ชีวิตอย่างกลมกลืนกับป่า น้ำ และสัตว์รอบตัว ภาพเหล่านี้สร้างโลกในอุดมคติที่ตรงกันข้ามกับชีวิตสมัยใหม่ของผู้ชมจำนวนมาก ซึ่งเต็มไปด้วยเมืองคอนกรีต มลพิษ ระบบทุนนิยม และความโดดเดี่ยว เมื่อหนังจบลง การต้อง “กลับสู่โลกจริง” จึงทำให้บางคนรู้สึกสูญเสียสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่จริงตั้งแต่แรก

รู้ทันภาวะ Avatar syndrome ดูหนังจบทำให้ไม่อยากกลับสู่โลกจริง

เพราะโลกความจริงมันตรงกันข้าม 

นักจิตวิทยาอธิบายว่า ความรู้สึกนี้ใกล้เคียงกับอาการ Post-narrative blues หรือภาวะซึมเศร้าหลังเสพเรื่องเล่าที่ทรงพลังมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ นิยาย หรือซีรีส์ยาว ๆ เมื่อผู้ชมผูกพันทางอารมณ์กับโลกสมมติ ตัวละคร และคุณค่าภายในเรื่องอย่างลึกซึ้ง การตัดขาดอย่างฉับพลันเมื่อเรื่องจบจึงสร้างช่องว่างทางอารมณ์ที่ต้องใช้เวลาเยียวยา Avatar เพียงแต่ขยายผลกระทบนี้ให้รุนแรงขึ้น ด้วยภาพ เสียง และเทคโนโลยีสามมิติที่ทำให้ผู้ชม “รู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในโลกนั้นจริง ๆ”

อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ Avatar syndrome โดดเด่น คือธีมทางการเมืองและสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน ภาพยนตร์ไม่ได้ขายเพียงความสวยงาม แต่ชวนตั้งคำถามถึงการล่าอาณานิคม การเอารัดเอาเปรียบทรัพยากร และการทำลายธรรมชาติ ผู้ชมจำนวนไม่น้อยรู้สึกผิด หดหู่ หรือสิ้นหวังเมื่อเปรียบเทียบอุดมคติของแพนดอรากับโลกจริงที่กำลังเผชิญวิกฤตสภาพภูมิอากาศ สงคราม และความเหลื่อมล้ำ ความเศร้าหลังดูหนังจึงไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว แต่เชื่อมโยงกับความวิตกกังวลเชิงโครงสร้างของโลกยุคปัจจุบัน

รู้ทันภาวะ Avatar syndrome ดูหนังจบทำให้ไม่อยากกลับสู่โลกจริง

แม้ Avatar syndrome จะฟังดูเป็นภาวะด้านลบ แต่ในอีกมุมหนึ่ง นักวิชาการบางคนมองว่ามันสามารถกลายเป็นพลังเชิงบวกได้ ผู้ชมบางส่วนใช้ความรู้สึกหลังดู Avatar เป็นแรงผลักดันให้กลับไปเชื่อมต่อกับธรรมชาติ ใช้เวลานอกเมืองมากขึ้น หรือมีส่วนร่วมกับประเด็นสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ เมื่อโลกในจอไม่อาจเข้าถึงได้ การพยายามเปลี่ยนแปลงโลกจริงให้ใกล้อุดมคติมากขึ้นจึงกลายเป็นทางออกทางอารมณ์ที่สร้างสรรค์กว่า

ที่มา : theguardian / silvotherapy 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

related