
สรุปให้ ทุกแง่มุม กรณี “บุญฤทธิ์ เรารุ่งโรจน์” ผู้สมัครสส.พรรคประชาชน เขต 33 กทม. โดนหมายจับฟอกเงิน - ทำให้ พรรคประชาชนต้องเปลี่ยนตัวผู้สมัคร
เลือกตั้ง 2569 กรุงเทพมหานคร เขต 33 (บางพลัด-บางกอกน้อย) กลายเป็นอีกหนึ่งสปอตไลต์ของการเลือกตั้งครั้งนี้ทันที ต้องเผชิญกับจุดพลิกผันครั้งสำคัญในเชิงภาพลักษณ์ จากการพรรคประชาชนต้องเปลี่ยนตัว ผู้สมัคร บุญฤทธิ์ เรารุ่งโรจน์ หรือ “แบงค์” ซึ่งเป็นผลมาจากการ ปฏิบัติการกวาดล้างอาชญากรรม และมันได้ สร้างแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองส่งท้ายปี
เหตุการณ์ เริ่มต้นขึ้นเมื่อกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) เปิดปฏิบัติการภายใต้รหัส “Black Mirror TKP” โดยมีการปล่อยแถวกำลังพลเพื่อเข้าตรวจค้นเป้าหมายต้องสงสัย 22 จุด ในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, นนทบุรี, ปทุมธานี, ลพบุรี และตรัง
เป้าหมายของปฏิบัติการคือการทลายเครือข่ายค้ายาเสพติดและฟอกเงิน ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ 7 ราย พร้อมตรวจพบเส้นทางการเงินหมุนเวียนกว่า 2 หมื่นล้านบาท แต่สิ่งที่ทำให้คดีอาชญากรรมนี้กลายเป็นประเด็นการเมืองระดับประเทศ คือการพบว่าหนึ่งในผู้ถูกจับกุมคือ นายบุญฤทธิ์ เรารุ่งโรจน์ หรือ “แบงค์” ผู้สมัคร สส.กทม. เขต 33 สังกัดพรรคประชาชน (ปชน.)
ทันทีที่ข่าวไวรัลนี้ แพร่สะพัด พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ กรรมการบริหารพรรคประชาชน ในฐานะแม่ทัพเลือกตั้งกรุงเทพฯ ได้เปิดแถลงข่าวด่วนในช่วงเช้าของวันที่ 29 ธันวาคม 2568
พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ เปิดเผยเบื้องหลังว่า ทราบเรื่องเมื่อช่วงเช้าขณะโทรศัพท์เช็คตารางหาเสียงช่วงปีใหม่ และพบว่าผู้สมัครของพรรคถูกออกหมายจับในคดีฟอกเงิน เขาใช้โอกาสนี้กล่าว “กราบขอโทษพี่น้องประชาชนอย่างสูง” โดยเฉพาะชาวบางพลัดและบางกอกน้อย
ประเด็นสำคัญที่พรรคประชาชนชี้แจงคือ “ช่องว่างของเวลา” พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ระบุว่า พรรคได้ตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของผู้สมัครทุกคนอย่างละเอียดแล้วในวันที่ 17 ธันวาคม ซึ่งขณะนั้น “ไม่มีการออกหมายเรียก” แต่อย่างใด
หมายจับเพิ่งถูกออกในภายหลัง ทำให้พรรคไม่ทราบเรื่องมาก่อน
"พรรคก็ได้ดำเนินการแจ้งผู้สมัครและแถลงต่อประชาชนว่าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เรายืนยันว่าไม่มีการปกปิดหรือปกป้องใครทั้งสิ้น”
“มีส้มไม่มีเทา ไม่ใช่แค่สโลแกนหาเสียง เราพิสูจน์ด้วยการกระทำว่าเราไม่อ่อนข้อต่อทุนเทา” นายพิจารณ์กล่าวเน้นย้ำ พร้อมยืนยันว่าจะไม่มีการปกป้องผู้กระทำผิด และจะดำเนินการ เปลี่ยนตัวผู้สมัครใหม่ ให้ทันก่อนเส้นตายวันที่ 31 ธันวาคมนี้
ท่ามกลางกระแสกดดันทางสังคม บุญฤทธิ์ เรารุ่งโรจน์ ได้เคลื่อนไหวผ่านโซเชียลมีเดีย ในเวลาต่อมา ประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาชนทันที โดยระบุเหตุผล 3 ประการหลัก:
• เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและพิสูจน์ความบริสุทธิ์อย่างเต็มที่
• เพื่อรักษาบรรทัดฐานและความรับผิดชอบต่อสังคม
• เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของพรรค
บุญฤทธิ์ เรารุ่งโรจน์ ยืนยันว่า “ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ตามข้อกล่าวหา” และพร้อมพิสูจน์ความจริงผ่านกระบวนการที่ตรวจสอบได้
การศึกษา: จบการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา, ปริญญาตรี รัฐศาสตร์ ม.รามคำแหง และปริญญาโท พาณิชยศาสตร์และการบัญชี (อสังหาริมทรัพย์) ม.ธรรมศาสตร์
การทำงาน: มีประสบการณ์โชกโชนในภาคเอกชน ทั้งงานบริหารอสังหาริมทรัพย์และ REIT รวมถึงเคยผ่านงานระดับแรงงานรายวันมาก่อน ซึ่งเจ้าตัวมักใช้เป็นจุดขายเรื่องความเข้าใจความเหลื่อมล้ำ
เส้นทางการเมือง: เขาเคยดำรงตำแหน่งสำคัญเบื้องหลังสภาฯ เช่น ผู้เชี่ยวชาญประจำตัว สส., เลขานุการคณะกรรมาธิการพาณิชย์ฯ และที่ปรึกษา กมธ. พัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น ประวัติเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามถึงกระบวนการคัดกรองบุคลากรของพรรค ว่าเหตุใดบุคคลที่มีบทบาทขับเคลื่อนนโยบาย “กาส้ม ล้มเทา” จึงกลายเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีฟอกเงินเสียเอง
ณ เวลานี้ แม้พรรคประชาชนจะเสียผู้สมัครหลักไปและอยู่ระหว่างการเฟ้นหาตัวแทนใหม่ แต่การแข่งขันในเขต 33 บางพลัด-บางกอกน้อย (ยกเว้นแขวงศิริราช) ยังคงดำเนินต่อไปด้วยความเข้มข้น โดยมีผู้ท้าชิงจากพรรคใหญ่ที่ยังตรึงพื้นที่อย่างเหนียวแน่น:
เบอร์ 1: นายสุไพรพล ช่วยชู (พรรคเพื่อไทย)
เบอร์ 8: นายเจตน์สฤษดิ์ เลิศธนสาร (พรรคประชาธิปัตย์)
เบอร์ 10: นายอรรทิตย์ฌาณ คูหาเรืองรอง (พรรคภูมิใจไทย)
เบอร์ 13: นายธรกร คงอุดม (พรรครวมไทยสร้างชาติ)
และในส่วนของ พรรคประชาชน (เบอร์ 11) ต้องจับตาดูว่าใครจะก้าวเข้ามารับเผือกร้อนนี้แทนที่นายบุญฤทธิ์ ในช่วงเวลาที่เหลือเพียงไม่กี่วันก่อนปิดรับสมัคร ท่ามกลางเดิมพันที่สูงลิ่วในการกู้ศรัทธาคืนจากฐานเสียงเดิมของ นายพงศ์พันธ์ ยอดเมืองเจริญ (อดีตผู้สมัครพรรคก้าวไกล ปี 66) ที่เป็น สส. จากเขตนี้ ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว
.