svasdssvasds

The New Frontier เจาะลึกเทรนด์นักลงทุนไทยกับ "ตลาดหุ้นสหรัฐฯ"

The New Frontier เจาะลึกเทรนด์นักลงทุนไทยกับ "ตลาดหุ้นสหรัฐฯ"

พอร์ตการลงทุนคนไทยกำลังเปลี่ยนไป เจาะเทรนด์ "Global Investor" คลื่นลูกใหม่ของนักลงทุนไทยที่มองข้าม SET Index มุ่งหน้าสร้างความมั่งคั่งในตลาดหุ้นสหรัฐฯอย่าง S&P 500, Nasdaq

SHORT CUT

  • นักลงทุนไทยหันไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพราะมีผลตอบแทนในอดีตที่สูงกว่าตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ และเปิดโอกาสให้ลงทุนในบริษัทนวัตกรรมระดับโลกที่เป็นผู้นำเมกะเทรนด์อย่าง AI, Cloud Computing และ EV ซึ่งหาได้ยากในตลาดไทย
  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีขนาดใหญ่กว่าและมีความหลากหลายของอุตสาหกรรมสูงกว่ามาก ทำให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงออกจากตลาดไทยที่อาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายในประเทศโดยเฉพาะ เช่น การเมืองและเศรษฐกิจ
  • การเกิดขึ้นของแอปพลิเคชัน FinTech ทำให้การลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ เป็นเรื่องง่าย สะดวก และมีค่าธรรมเนียมต่ำ นักลงทุนรายย่อยสามารถเริ่มต้นได้ด้วยเงินจำนวนไม่มากผ่านการซื้อขายหุ้นรายย่อย ซึ่งเป็นการทลายกำแพงการลงทุนในต่างประเทศอย่างสิ้นเชิง

พอร์ตการลงทุนคนไทยกำลังเปลี่ยนไป เจาะเทรนด์ "Global Investor" คลื่นลูกใหม่ของนักลงทุนไทยที่มองข้าม SET Index มุ่งหน้าสร้างความมั่งคั่งในตลาดหุ้นสหรัฐฯอย่าง S&P 500, Nasdaq

นักลงทุนไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ หันเหเม็ดเงินลงทุนออกจากตลาดในประเทศมุ่งหน้าสู่ตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง 'สหรัฐอเมริกา'

ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงกระแสชั่วคราว แต่เป็นผลลัพธ์จากปัจจัยด้านกฎระเบียบที่เอื้ออำนวย เทคโนโลยีทางการเงินที่เข้าถึงง่าย และแรงผลักดันพื้นฐานในการแสวงหาผลตอบแทนและการเติบโตที่เหนือกว่า

ทำไมต้องเป็นหุ้นสหรัฐอเมริกา?

แรงจูงใจสำคัญที่ดึงดูดนักลงทุนไทยคือ ความแตกต่างของผลตอบแทนในอดีตที่ชัดเจน ข้อมูลย้อนหลัง 10 ปีชี้ให้เห็นว่า ดัชนี MSCI World Index ซึ่งมีหุ้นสหรัฐฯ เป็นส่วนประกอบหลัก ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง "9.77%" ต่อปี

ขณะที่ดัชนี SET Index ของไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียง "2.46%" ต่อปี ตัวเลขนี้สะท้อนถึงโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งระยะยาวที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

The New Frontier เจาะลึกเทรนด์นักลงทุนไทยกับ \"ตลาดหุ้นสหรัฐฯ\"

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ คือศูนย์รวมของบริษัทนวัตกรรมที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ซึ่งผลิตภัณฑ์และบริการได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนไทยอย่างแยกไม่ออก

การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดโอกาสให้นักลงทุนได้เป็นเจ้าของกิจการระดับโลกอย่าง Apple, Microsoft, NVIDIA, Alphabet (Google), Amazon และ Tesla

The New Frontier เจาะลึกเทรนด์นักลงทุนไทยกับ \"ตลาดหุ้นสหรัฐฯ\"

บริษัทเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม แต่ยังเป็นผู้ขับเคลื่อนเมกะเทรนด์สำคัญ ทั้งปัญญาประดิษฐ์ (AI), คลาวด์คอมพิวติ้ง และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นธีมการเติบโตที่หาได้ยากในตลาดหุ้นไทย

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีขนาดและสภาพคล่องที่เหนือกว่าอย่างมหาศาล โดยมีมูลค่าตลาดรวมคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 40% ของมูลค่าตลาดหุ้นทั่วโลก และมีบริษัทจดทะเบียนมากกว่า 5,000 แห่ง (เทียบกับไทยที่มีประมาณ 700 แห่ง) มอบความหลากหลายในการลงทุนและต้นทุนการทำธุรกรรมที่ต่ำกว่า

สำหรับนักลงทุนที่พอร์ตกระจุกตัวในประเทศไทย การขยายการลงทุนไปยังสหรัฐฯ จึงเป็นเครื่องมือ บริหารความเสี่ยง ชั้นเยี่ยม ช่วยลดผลกระทบจากปัจจัยเฉพาะของประเทศ เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมือง หรือภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาค

The New Frontier เจาะลึกเทรนด์นักลงทุนไทยกับ \"ตลาดหุ้นสหรัฐฯ\"

เมื่อนักลงทุนตัดสินใจข้ามพรมแดน ดัชนีสองตัวที่เป็นเป้าหมายหลักคือ S&P 500 และ Nasdaq 100 ซึ่งแม้จะอยู่ในตลาดเดียวกัน แต่ก็มีปรัชญาและลักษณะที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

หุ้น S&P500 กับ Nasdaq 100 ต่างกันยังไง?

S&P 500 ตัวแทนเศรษฐกิจที่มั่นคง เป็นมาตรวัดภาพรวมของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ดีที่สุด ประกอบด้วยบริษัทขนาดใหญ่ 500 แห่ง ครอบคลุมทุกภาคส่วนเศรษฐกิจ (เทคโนโลยี, สุขภาพ, การเงิน, สินค้าอุปโภคบริโภค)

การกระจายความเสี่ยงที่ยอดเยี่ยม ทำให้มีความผันผวนต่ำกว่า เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวและเป็นพอร์ตหลักของการลงทุน เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการการเติบโตที่สอดคล้องไปกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวม และยอมรับความเสี่ยงได้ไม่สูงมากนัก

Nasdaq 100 ขุมพลังแห่งเทคโนโลยีและนวัตกรรม ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทขนาดใหญ่ที่สุด 100 แห่ง (ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน) ที่จดทะเบียนในตลาด Nasdaq กระจุกตัวสูงในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรม (มากกว่า 50%) มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่เติบโตแบบก้าวกระโดด

เหมาะกับนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูง เชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของบริษัทเทคโนโลยี และพร้อมรับมือกับความผันผวนที่สูงกว่า

การเข้ามาของแอปพลิเคชัน FinTech ได้ทลายกำแพงการลงทุนในต่างประเทศ ทำให้การซื้อขายหุ้นสหรัฐฯ เป็นเรื่องง่าย สะดวก และมีค่าธรรมเนียมที่แข่งขันได้ แพลตฟอร์มชั้นนำมีจุดเด่นที่แตกต่างกันดังนี้

  • Dime! เหมาะสำหรับมือใหม่ ลงทุนด้วย "เงินบาท" ได้โดยตรง, ฟรีค่าคอมมิชชัน 1 รายการแรกของเดือน, รองรับการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA) และหุ้นรายย่อย 

CREDIT : Dime!

  • Liberator ค่าธรรมเนียมยืดหยุ่น เลือกจ่ายตามจริง (0.10%) หรือแบบเหมา (999 บาท/เดือน), รองรับหุ้นรายย่อย เริ่มต้นลงทุนเพียง 1 ดอลลาร์, มีคำสั่งซื้อขายขั้นสูง

CREDIT : Liberator

  • InnovestX ศูนย์รวมทุกสินทรัพย์ เข้าถึง 31 ตลาดทั่วโลก, มีบทวิเคราะห์ที่ครอบคลุม เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการจัดการทุกการลงทุนในแอปเดียว

CREDIT : innovestX

  • Webull เครื่องมือวิเคราะห์ครบครัน เป็นที่รู้จักด้านเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคและข้อมูลเชิงลึก, รองรับหุ้นรายย่อย และมีค่าธรรมเนียมที่แข่งขันได้

CREDIT : Webull

ประเด็นด้านภาษีกำไรจากการลงทุนในต่างประเทศถือเป็นข้อพิจารณาที่สำคัญ ล่าสุด กรมสรรพากรอยู่ระหว่างการปรับปรุงหลักเกณฑ์ โดยมีแนวโน้มจะ ยกเว้นภาษี สำหรับกำไรที่เกิดขึ้นและนำกลับเข้าประเทศไทยภายในปีถัดไป

กฎเกณฑ์ใหม่นี้ หากมีผลบังคับใช้ จะลดความซับซ้อนในการวางแผนภาษีลงอย่างมาก และอาจทำให้นักลงทุนมีความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตและทำกำไรระยะสั้นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงต้องติดตามประกาศอย่างเป็นทางการและวางแผนให้สอดคล้องกับกฎหมาย ณ เวลานั้นๆ

การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงวุฒิภาวะของนักลงทุนไทย ที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากการเป็นนักลงทุนในประเทศสู่การเป็น "นักลงทุนโลก" (Global Investor) ที่มีความรู้ความเข้าใจ กล้าแสวงหาโอกาส และมีมุมมองการลงทุนที่กว้างไกลกว่าเดิม

แนะนำ 5 หุ้นสหรัฐฯ น่าลงทุน

  • Apple (AAPL) บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกและเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่คนทั่วโลกคุ้นเคยอย่าง iPhone การลงทุนใน Apple เปรียบเสมือนการลงทุนในแบรนด์ที่แข็งแกร่งและมีนวัตกรรมต่อเนื่อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คนจำนวนมาก

The New Frontier เจาะลึกเทรนด์นักลงทุนไทยกับ \"ตลาดหุ้นสหรัฐฯ\"

  • Microsoft (MSFT) ผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการ Windows ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย และเป็นผู้นำในตลาดคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) ถือเป็นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่มีธุรกิจหลากหลายและเป็นพื้นฐานสำคัญของโลกดิจิทัล  

The New Frontier เจาะลึกเทรนด์นักลงทุนไทยกับ \"ตลาดหุ้นสหรัฐฯ\"

  • Alphabet (GOOGL) บริษัทแม่ของ Google ซึ่งให้บริการที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น Google Search และ Google Maps นอกจากธุรกิจโฆษณาที่แข็งแกร่งแล้ว ยังมีธุรกิจอื่น ๆ ที่มีศักยภาพเติบโตสูงในอนาคต  

The New Frontier เจาะลึกเทรนด์นักลงทุนไทยกับ \"ตลาดหุ้นสหรัฐฯ\"

  • Amazon (AMZN) ผู้นำในธุรกิจอีคอมเมิร์ซระดับโลก และยังมีธุรกิจคลาวด์ (Amazon Web Services) ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและทำกำไรสูง เป็นบริษัทที่อยู่ในเทรนด์การเติบโตที่สำคัญของโลก  

The New Frontier เจาะลึกเทรนด์นักลงทุนไทยกับ \"ตลาดหุ้นสหรัฐฯ\"

  • Berkshire Hathaway (BRK.B) บริษัทโฮลดิ้งของนักลงทุนระดับตำนานอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งลงทุนในบริษัทชั้นนำหลากหลายอุตสาหกรรม เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงและการเติบโตในระยะยาว โดยไม่ต้องกระจุกตัวอยู่ในหุ้นเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว  

The New Frontier เจาะลึกเทรนด์นักลงทุนไทยกับ \"ตลาดหุ้นสหรัฐฯ\"

หุ้นเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างเบื้องต้น การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการตัดสินใจให้เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตนเอง

ที่มา : K Wealthinvestopediasetinvestnowliberator

related