
SHORT CUT
พอร์ตการลงทุนคนไทยกำลังเปลี่ยนไป เจาะเทรนด์ "Global Investor" คลื่นลูกใหม่ของนักลงทุนไทยที่มองข้าม SET Index มุ่งหน้าสร้างความมั่งคั่งในตลาดหุ้นสหรัฐฯอย่าง S&P 500, Nasdaq
นักลงทุนไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ หันเหเม็ดเงินลงทุนออกจากตลาดในประเทศมุ่งหน้าสู่ตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง 'สหรัฐอเมริกา'
ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงกระแสชั่วคราว แต่เป็นผลลัพธ์จากปัจจัยด้านกฎระเบียบที่เอื้ออำนวย เทคโนโลยีทางการเงินที่เข้าถึงง่าย และแรงผลักดันพื้นฐานในการแสวงหาผลตอบแทนและการเติบโตที่เหนือกว่า
แรงจูงใจสำคัญที่ดึงดูดนักลงทุนไทยคือ ความแตกต่างของผลตอบแทนในอดีตที่ชัดเจน ข้อมูลย้อนหลัง 10 ปีชี้ให้เห็นว่า ดัชนี MSCI World Index ซึ่งมีหุ้นสหรัฐฯ เป็นส่วนประกอบหลัก ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง "9.77%" ต่อปี
ขณะที่ดัชนี SET Index ของไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียง "2.46%" ต่อปี ตัวเลขนี้สะท้อนถึงโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งระยะยาวที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ คือศูนย์รวมของบริษัทนวัตกรรมที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ซึ่งผลิตภัณฑ์และบริการได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนไทยอย่างแยกไม่ออก
การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดโอกาสให้นักลงทุนได้เป็นเจ้าของกิจการระดับโลกอย่าง Apple, Microsoft, NVIDIA, Alphabet (Google), Amazon และ Tesla
บริษัทเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม แต่ยังเป็นผู้ขับเคลื่อนเมกะเทรนด์สำคัญ ทั้งปัญญาประดิษฐ์ (AI), คลาวด์คอมพิวติ้ง และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นธีมการเติบโตที่หาได้ยากในตลาดหุ้นไทย
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีขนาดและสภาพคล่องที่เหนือกว่าอย่างมหาศาล โดยมีมูลค่าตลาดรวมคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 40% ของมูลค่าตลาดหุ้นทั่วโลก และมีบริษัทจดทะเบียนมากกว่า 5,000 แห่ง (เทียบกับไทยที่มีประมาณ 700 แห่ง) มอบความหลากหลายในการลงทุนและต้นทุนการทำธุรกรรมที่ต่ำกว่า
สำหรับนักลงทุนที่พอร์ตกระจุกตัวในประเทศไทย การขยายการลงทุนไปยังสหรัฐฯ จึงเป็นเครื่องมือ บริหารความเสี่ยง ชั้นเยี่ยม ช่วยลดผลกระทบจากปัจจัยเฉพาะของประเทศ เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมือง หรือภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาค
เมื่อนักลงทุนตัดสินใจข้ามพรมแดน ดัชนีสองตัวที่เป็นเป้าหมายหลักคือ S&P 500 และ Nasdaq 100 ซึ่งแม้จะอยู่ในตลาดเดียวกัน แต่ก็มีปรัชญาและลักษณะที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
S&P 500 ตัวแทนเศรษฐกิจที่มั่นคง เป็นมาตรวัดภาพรวมของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ดีที่สุด ประกอบด้วยบริษัทขนาดใหญ่ 500 แห่ง ครอบคลุมทุกภาคส่วนเศรษฐกิจ (เทคโนโลยี, สุขภาพ, การเงิน, สินค้าอุปโภคบริโภค)
การกระจายความเสี่ยงที่ยอดเยี่ยม ทำให้มีความผันผวนต่ำกว่า เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวและเป็นพอร์ตหลักของการลงทุน เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการการเติบโตที่สอดคล้องไปกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวม และยอมรับความเสี่ยงได้ไม่สูงมากนัก
Nasdaq 100 ขุมพลังแห่งเทคโนโลยีและนวัตกรรม ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทขนาดใหญ่ที่สุด 100 แห่ง (ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน) ที่จดทะเบียนในตลาด Nasdaq กระจุกตัวสูงในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรม (มากกว่า 50%) มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่เติบโตแบบก้าวกระโดด
เหมาะกับนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูง เชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของบริษัทเทคโนโลยี และพร้อมรับมือกับความผันผวนที่สูงกว่า
การเข้ามาของแอปพลิเคชัน FinTech ได้ทลายกำแพงการลงทุนในต่างประเทศ ทำให้การซื้อขายหุ้นสหรัฐฯ เป็นเรื่องง่าย สะดวก และมีค่าธรรมเนียมที่แข่งขันได้ แพลตฟอร์มชั้นนำมีจุดเด่นที่แตกต่างกันดังนี้
ประเด็นด้านภาษีกำไรจากการลงทุนในต่างประเทศถือเป็นข้อพิจารณาที่สำคัญ ล่าสุด กรมสรรพากรอยู่ระหว่างการปรับปรุงหลักเกณฑ์ โดยมีแนวโน้มจะ ยกเว้นภาษี สำหรับกำไรที่เกิดขึ้นและนำกลับเข้าประเทศไทยภายในปีถัดไป
กฎเกณฑ์ใหม่นี้ หากมีผลบังคับใช้ จะลดความซับซ้อนในการวางแผนภาษีลงอย่างมาก และอาจทำให้นักลงทุนมีความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตและทำกำไรระยะสั้นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงต้องติดตามประกาศอย่างเป็นทางการและวางแผนให้สอดคล้องกับกฎหมาย ณ เวลานั้นๆ
การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงวุฒิภาวะของนักลงทุนไทย ที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากการเป็นนักลงทุนในประเทศสู่การเป็น "นักลงทุนโลก" (Global Investor) ที่มีความรู้ความเข้าใจ กล้าแสวงหาโอกาส และมีมุมมองการลงทุนที่กว้างไกลกว่าเดิม
หุ้นเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างเบื้องต้น การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการตัดสินใจให้เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตนเอง
ที่มา : K Wealth, investopedia, setinvestnow, liberator