svasdssvasds

SEO คืออะไร สำคัญอย่างไรกับธุรกิจออนไลน์ เริ่มก่อนยิ่งได้เปรียบแง่การตลาด

SEO คืออะไร สำคัญอย่างไรกับธุรกิจออนไลน์ เริ่มก่อนยิ่งได้เปรียบแง่การตลาด

การทำ SEO คืออะไร ทำความเข้าใจการทำงานอย่างละเอียด หากคุณเริ่มทำ SEO ช้าเท่ากับว่า คู่แข่งของคุณสามารถแซงคุณไปได้ตลอดเวลา ถ้าเริ่มก่อน เราจะได้เปรียบในแง่การตลาด เพราะฉะนั้นถึงเวลาแล้ว ที่จะเริ่มทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ของคุณเพื่อให้ธุรกิจของคุณเติบโตยิ่งขึ้น

เมื่อเราต้องการหาข้อมูลอะไรก็ตาม เชื่อว่าทุกคนคงหนีไม่พ้นการ Search ข้อมูลใน Google ซึ่งเป็นหนึ่งใน Search Engine ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดทั่วโลก เมื่อคุณป้อนสิ่งที่คุณต้องการค้นหาข้อมูล Search Engine ก็จะประมวล จัดอันดับเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องให้เรา เพื่อให้เราเข้าไปค้นคว้า ด้วยเหตุนี้ หลายธุรกิจจึงเห็นประโยชน์ตรงจุดนี้ จึงได้เกิดการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ขึ้นมา

ในวันนี้ Nerd Optimize จะพาเพื่อน ๆ ทุกท่านไปทำความรู้จัก SEO คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรกับการทำธุรกิจของคุณ พร้อมบอกขั้นตอนการเริ่มต้นทำ SEO ให้คุณได้ลองไปทำเองเบื้องต้น

SEO คืออะไร ?
Search Engine optimization หรือ SEO คือขั้นตอนในการปรับเว็บไซต์ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิด Organic Traffic จากการค้นหา Keyword ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถรองรับ Search Engine (อย่าง Google) ส่งผลให้เว็บไซต์นั้นได้รับอันดับ SEO Score ที่ดี และติดหน้าแรก ๆ 

SEO คืออะไร สำคัญอย่างไรกับธุรกิจออนไลน์ เริ่มก่อนยิ่งได้เปรียบแง่การตลาด Credit Photo : Freepik

การทำ SEO มีประโยชน์อย่างไร
หลายคนยังคงสงสัยว่าการทำ SEO มีประโยชน์อย่างไร ? การทำ SEO เรียกได้ว่า เป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าจำเป็นในการตลาดบนเว็บไซต์ของบริษัทเลยก็ว่าได้ เพราะจะทำให้เว็บของคุณติดหน้าแรก หรืออันดับต้น ๆ ของ Google นำไปสู่ Organic Traffic ที่เยอะ เพราะคนจะเลือกกดแต่เว็บไซต์ต้น ๆ ก่อนตามความนึกคิดโดยทั่วไปของมนุษย์ นำไปสู่โอกาสที่ทำให้เกิด Conversion เพราะ Organic Traffic ที่เยอะขึ้นบนเว็บไซต์ของเรา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

SEO Marketing สำคัญอย่างไร
SEO (Search Engine optimization) ไม่ใช่แค่การปรับแต่งเว็บไซต์เท่านั้น แต่สามารถเป็นถึงการทำตลาดได้เลยทีเดียว เพราะหลังจากที่คุณเริ่มการปรับแต่งเว็บไซต์แล้ว เว็บไซต์ของคุณก็จะขึ้นมาอันดับต้น ๆ ของ Google ในคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง ทำให้คนมองเห็นแบรนด์ของคุณมากขึ้นนำไปสู่การ Raise Awareness ทำให้เว็บของคุณมีความน่าเชื่อถือ มีโอกาสเป็น Top of Mind มากขึ้น สร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับแบรนด์ของคุณมากขึ้น

ปัจจุบัน SEO สามารถเริ่มทำได้ง่าย ๆ ขอเพียงแค่ธุรกิจของคุณมีเว็บไซต์ ไม่ว่าจะมีหน้าร้านหรือธุรกิจเล็ก ๆ ก็ทำได้

SEO คืออะไร สำคัญอย่างไรกับธุรกิจออนไลน์ เริ่มก่อนยิ่งได้เปรียบแง่การตลาด Credit Photo : Freepik

ความแตกต่างระหว่าง SEO กับ SEM ?
จริงแล้ว ๆ เป็นที่ถกเถียงกันมานานว่า SEO กับ SEM อะไรดีกว่ากัน… ต้องบอกก่อนว่าการทำ SEO ก็คือเทคนิคในการทำ SEM (Search Engine Markerting) เช่นกัน เพียงแต่ SEO คือไม่ต้องใช้งบเยอะเท่า SEM หรือ Google Ads นั่นเอง

โดยการทำ SEM คือการที่เราซื้อโฆษณาที่เรียกว่า Search Ads หรือ Paid Ads เพื่อให้เว็บไซต์ของเราขึ้นอันดับ 1 โดยการจ่ายเงินเป็น PPC (Pay Per click) โดยราคาแตกต่างไปตาม Keyword ว่ามีอัตราแข่งขันกันมากเท่าไร

ส่วนการทำ SEO คือวิธีที่ค่อยพัฒนาปรับปรุงเว็บไซต์ ให้มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือ ตาม Algorithm ของ Google มากขึ้น ส่งผลให้อันดับค่อยๆ ขึ้น จนติดอันดับแรก ๆ ใน Keyword นั้น ๆ ทำให้คุณไม่ต้องเสียเงินทุกวันเหมือนการทำ Google Ads โดยการทำ SEO ถือว่าเป็นการทำเพื่อผลระยะยาวเรียกว่าเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการความมั่นคงในแง่ การตลาดออนไลน์นั่นเอง

SEO จำเป็นไหม ควรเริ่มทำตอนไหนดี
ปัจจุบัน เมื่อคนอยากรู้อะไรก็ต้องถามอากู๋ Google ซึ่งมีคนใช้มากกว่า 8.5 พันล้านครั้งทั่วโลกต่อวัน และคนไทยใช้ Google 3 ล้าน ครั้งต่อวัน เรียกได้ว่าเป็นจำนวนมหาศาลมาก ๆ จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราใช้ข้อมูลนี้ให้เป็นประโยชน์ และเริ่มทำ SEO ตั้งแต่ตอนนี้

การทำ SEO จึงเป็นสิ่งที่คุณควรเริ่มเป็นสิ่งแรก ๆ ทันทีหลังจากธุรกิจคุณมีเว็บไซต์ เพราะเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก เนื่องจากจะเพิ่มการเข้าถึงแบรนด์ของเราให้กับลูกค้าได้มากขึ้น โดยสามารถรองรับได้ตั้งแต่ธุรกิจแบบ B2B ไปจนถึง B2C เลยทีเดียว นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถศึกษาจากคอนเทนต์ของคุณได้ ก่อนการตัดสินใจซื้อ นำไปสู่ Conversion ที่มีโอกาสมากขึ้นอีกด้วย

หากคุณเริ่มทำ SEO ช้าเท่ากับว่า คู่แข่งของคุณสามารถแซงคุณไปได้ตลอดเวลา เพราะว่าในโลกออนไลน์มีการแข่งขันอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราเริ่มก่อน เราจะได้เปรียบในแง่การตลาด เพราะฉะนั้นถึงเวลาแล้ว ที่คุณจะเริ่มทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ของคุณเพื่อให้ธุรกิจของคุณเติบโตยิ่งขึ้นไปอีก

SEO คืออะไร สำคัญอย่างไรกับธุรกิจออนไลน์ เริ่มก่อนยิ่งได้เปรียบแง่การตลาด Credit Photo : Freepik การทำงานของ SEO มีกี่ขั้นตอน
การทำ SEO นั้น เราต้องเข้าใจคอนเซ็ปท์กันก่อนว่า ก่อนที่ Google จะแสดงผลจัดอันดับเว็บให้เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ ทำงานอย่างไร โดยสามารถแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน

  • Crawling

เป็นการที่ Google ส่ง Googlebot (เรียกได้ว่า Spider, Web Crawl) ออกไปตามเว็บต่าง ๆ ทั่วโลกอินเทอร์เน็ต โดย Googlebot จะทำการวิ่งไปทุกลิงค์ ทุกเว็บที่เชื่อมโยงกัน เพื่อวิเคราะห์ว่าเว็บแต่ละเว็บนั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร มี Keyword อะไรบ้าง

  • Indexing

เมื่อได้ Keyword จากการ Crawling ไปตามเว็บต่าง ๆ แล้ว ก็จะนำมาเก็บ (Indexing) โดยใช้ Algorithm ของ Google เรียกได้ว่าเหมือนเป็นการเก็บข้อมูลต่าง ๆ มาใส่ในลิ้นชักที่จำแนกทุกอย่างแบบละเอียดนั่นเองไม่ว่าจะ Keyword หรือเว็บเกี่ยวข้องกับอะไร

  • Serving Ranking

เมื่อมีฐานข้อมูลแล้ว เมื่อคน Search Google โดยการป้อน Keyword ลงไป Google จะแสดงผลเป็น List เว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ถูก Algorithm จัดอันดับว่าเว็บไหนอยู่อันดับที่เท่าไร ซึ่งมีเงื่อนไขคือต้องมี Keyword หรือคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับ Keyword ที่ถูกป้อน มากที่สุด

SEO คืออะไร สำคัญอย่างไรกับธุรกิจออนไลน์ เริ่มก่อนยิ่งได้เปรียบแง่การตลาด Credit Photo : Freepik

ขั้นตอนการเริ่มต้นทำ SEO marketing

การทำ SEO Marketing นั้น หากอยากทำให้มีประสิทธิภาพเราต้องปฏิบัติตาม 7 ขั้นตอนนี้เพื่อให้การทำ SEO Marketing ของคุณมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น มาลองดูกันว่าขั้นตอนการเริ่มต้นทำ SEO มีอะไรกันบ้าง

1. วางกลยุทธ์กำหนดเป้าหมาย
การวางกลยุทธ์หรือการวาง SEO Marketing Strategy คือการวางแผนว่าคุณต้องการให้การทำ SEO ได้ผลลัพธ์อย่างไร ไม่ว่าจะเป็น Traffic, Awareness, Leads  ไปจนถึง Conversion นอกจากนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการกำหนด Keyword ที่เราจะใช้ ทำให้คุณสามารถรู้ว่าแนวทางการทำ SEO สำหรับเว็บไซต์ของคุณเป็นอย่างไร ตั้งแต่ต้นจนจบ

ซึ่งขั้นตอนนี้ต้องอาศัยประสบการณ์ และความชำนาญรวมถึงความละเอียดอ่อน หากคุณยังไม่มีทีมทำกลยุทธ์ SEO Nerdoptimize พร้อมให้คำปรึกษา ฟรี และรับทำ SEO ให้เก็บเว็บของคุณได้ครับ

2. Research Keyword วางโครงสร้างเว็บไซต์
ขั้นตอนในการลงมือทำ SEO เริ่มจากการ Reseach Keyword เพื่อสำรวจค้นคว้าว่าผู้ใช้งานนั้นเขาค้นหาอะไรที่เกี่ยวกับเว็บไซต์เรา หรือมี Keyword อื่น ๆ ที่ใกล้เคียงที่ใช้ได้หรือไม่ นอกจากนี้ยังต้องดู Search Volume ของ Keyword นั้น ๆ รวมถึงความยากง่ายของการทำอันดับ SEO ด้วย Keyword นั้น ๆ เพื่อให้คุณสามารถประเมินการทำ SEO ของคุณได้

โดยทั่วไปแล้วเหล่านักทำ SEO จะใช้ เครื่องมืออย่าง Google Keyword Planner, Ubersuggest, Ahrefs และอื่น ๆ ซึ่งแต่ละเครื่องมือก็จะมีจุดเด่นในการใช้งานที่ต่างกัน

3. สร้างเว็บไซต์
หลังจาก Research Keyword แล้ว คุณต้องหาสิ่งที่รองรับ Keyword เหล่านั้น นั่นก็คือ Website นั่นเอง โดยควรต้องเริ่มสร้างให้ถูกเกณฑ์ตั้งแต่ต้น เพื่อให้การทำงานราบรื่น และเป็นการวางแผนระยะยาวอีกด้วย

สำหรับการสร้าง SEO Network เราจำเป็น

  • ต้องหา Hosting ที่ดีมีประสิทธิภาพ
  • จด Domain (ชื่อเว็บไซต์) จำง่ายสะกดไม่ยาก ภาษาอังกฤษ เพื่อให้ Google Search Algorithm ทำงานได้ง่ายขึ้น
  • ใช้เว็บไซต์แบบ  HTTPS (https://…) ซึ่งมีการเข้ารหัสทำให้เว็บของเรามีความปลอดภัย เพราะ Google คำนึงในเรื่องความปลอดภัยผู้ใช้ด้วย จึงทำให้ปัจจัยนี้เป็นส่วนในการพิจารณาอันดับเว็บเช่นกัน
  • การจัดการ Site Structure คือสิ่งสำคัญเช่นกัน ต้องวางทุกเพจบนเว็บนั้นเชื่อมถึงกันได้
  • อาจมีการใช้เทคนิคทางด้าน Coding ได้เช่นกัน

SEO คืออะไร สำคัญอย่างไรกับธุรกิจออนไลน์ เริ่มก่อนยิ่งได้เปรียบแง่การตลาด Credit Photo : Freepik 4. เขียน Content SEO
มีเว็บไซต์แล้วต้องมี Content SEO ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในการทำ SEO เลยทีเดียว เพราะ Content ในเว็บของคุณจะต้องมี Keyword ที่คุณได้ทำการ Research ไว้ เพื่อให้ติดอันดับ Keyword ตามที่คุณตั้งใจไว้

การเขียน Content SEO ต้องคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง ?

  • Keyword สิ่งสำคัญในคอนเทนต์ โดย Keyword เหล่านี้ต้องมีกระจายอยู่ทั่วบทความ
  • Useful Content ต้องเป็นคอนเทนต์ที่ประโยชน์แก่ผู้อื่น อยากให้คนอ่าน และให้ความรู้ตรงกับที่ผู้อ่านต้องการ ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีทำให้เกิด Conversion
  • Seach Intent คือเจตนาในการค้นหาข้อมูลของผู้ใช้ เราต้องรู้ว่าคนต้องการจะหาข้อมูลแบบไหน เพื่อให้เราสามารถผลิตคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์คนเหล่านี้

5. ปรับแต่ง On-Page SEO
เมื่อเราทำ Content เรียบร้อยแล้ว เราต้องปรับแต่งเว็บของเราเพื่อให้ตรงกับความต้องการของ Google Algorithm ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราต้องมีการ Optimize เรื่อย ๆ เนื่องจาก Google Update Algorithm อยู่ตลอด

โดยเราควรคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้

  • การใส่ Keyword ของคุณไว้ใน 100 คำแรก หรือตาม Header ต่าง ๆ
  • Title tags, Meta Description ควรมีความยาวที่เหมาะสม และต้องมี Keyword ของเว็บคุณอยู่ในนั้น เพื่อให้ Algorithm จัดอันดับเว็บคุณได้ดีขึ้น
  • Page Speed ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ คุณไม่ควรให้เว็บของคุณหนักเกินไป ควรบีบไฟล์ภาพ และวีดีโอ ให้แสดงผลในเว็บเร็ว ๆ
  • ทำ Internal Link เชื่อมไปยังเพจต่าง ๆ ในเว็บไซต์ของเรา
  • การทำ HTML Tags ไม่ว่าจะเป็น H1 H2 H3 เพื่อให้ผู้อ่านอ่านง่าย และ Algorithm ของ Google ประมวลว่าคอนเทนต์ของเราเป็นคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ
  • การทำให้เว็บของเรา Mobile Friendly จะทำให้ Google พิจารณาอันดับที่ดี เช่นกัน

6. Link Building
เทคนิคที่ทำให้เว็บของเรามีความน่าเชื่อถือ และทำให้ Google มองว่าเว็บของเราคือเว็บที่มีคุณภาพ ซึ่งเราเรียกกันว่า Backlink หากเว็บไซต์เรามี Backlink ที่เยอะยิ่งทำให้คะแนนจัดอันดับโดย Google นั้นดีขึ้น ซึ่งการทำ Backlink นั้นจะมีทั้งแบบสายขาว (แบบดีแบบถูกต้องและยั่งยืน) และแบบสายดำ (แบบไม่ดี ไม่ยั่งยืน)

โดยการทำ Backlink ที่ดีแบบสายขาวควรคำนึงดังนี้

  • คอนเทนต์ต้องมีคุณภาพมีคุณค่าตอบโจทย์ Pain Point ของผู้อ่านทำให้คอนเทนต์เรามีคุณค่า (เป็นวิธีที่ดีที่สุด)
  • ทำรูปภาพ หรือ Infographic ให้น่าสนใจ เพื่อให้เกิดการอ้างอิงเมื่อผู้อื่นนำรูปเราไปใช้
  • หาโอกาสในการเขียนคอนเทนต์ลงเว็บใหญ่ และให้เขาทำ Backlink กลับมาหาเว็บของคุณ
  • ใช้ Social Media ให้เกิดประโยชน์ เพื่อสร้าง Traffic, Click Rate ทำให้ Google มองว่าเว็บของคุณมีคุณภาพ
  • เป็น Guest Writer ให้กับเว็บอื่น แล้วหาทางสร้าง Backlink กลับมาที่เว็บของคุณ

7. Measurement (วัดผล) Optimization (ปรับแต่งแก้ไข)
เมื่อคุณทำทุกอย่างในการทำ SEO แล้ว ก็ถึงช่วงเวลาวัดผล ขั้นตอนนี้จะทำให้คุณสามารถรู้ได้ว่าสิ่งที่คุณทำมาทั้งหมดนั้น ตรงตามกลยุทธ์ที่คุณวางไว้ระดับไหนแล้ว และทำยังไงถึงจะ Optimize ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

การวัดผลนั้น เราสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Google Analytics, Google Search Console, Google Data Studio เพื่อหา Metrics ต่าง ๆ ดังนี้

  • Ranking - ปัจจัยที่สำคัญที่สุด โดยเราต้องตรวจสอบอันดับเว็บไซต์ เมื่อเรากรอก Keyword แต่ละคำที่เราทำ SEO ลงไป
  • Impression - เป็นจำนวนที่ลูกค้าเห็นเว็บของคุณผ่านการค้นหาใน Google โดยไม่สนที่อันดับ ซึ่งหมายความว่า ถ้า Impression เยอะ สามารถพูดได้ว่ามีผู้ใช้งานเว็บไซต์เยอะนั่นเอง
  • Clicks - จำนวนคลิกที่เว็บคุณได้รับเพื่อกดเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ หลังจากเขาเจอเว็บของคุณผ่านการค้นหาใน Google นั่นเอง
  • Traffic - จำนวนคนที่กดเข้าไปในเว็บไซต์ และมีการปฏิสัมพันธ์อยู่ในเว็บของคุณ ซึ่งการทำ SEO จะทำให้เกิด Organic traffic หรือ Traffic แบบที่เราไม่ต้องจ่ายเงินในการทำ SEM

โดยเราสามารถนำ Metric เหล่านี้ มาใช้ในการวิเคราะห์ เพื่อทำการปรับแก้ไข (Optimization) เว็บไซต์เราให้ดียิ่งขึ้น

SEO คืออะไร สำคัญอย่างไรกับธุรกิจออนไลน์ เริ่มก่อนยิ่งได้เปรียบแง่การตลาด Credit Photo : Freepik ข้อห้ามในการทำ SEO
เมื่อเรารู้ถึงสิ่งที่ควรทำในการทำ SEO แล้ว เรามาดูถึงข้อห้ามกันบ้าง ซึ่งทางเราได้คัดมาให้แล้ว เพื่อให้ทุกท่านที่อยากทำ SEO พึงระวังไว้ ไม่ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น

1. ห้ามเขียนคอนเทนต์โดยไม่มีคีย์เวิร์ด
ข้อห้ามร้ายแรง ในเมื่อการทำ SEO คือการเน้นดันอันดับ Keyword แต่ถ้า Content เราไม่มี Keyword เท่ากับว่าเราสูญเปล่าเป็นอย่างมาก เพราะจะทำให้ Algorithm ของ Google หาคอนเทนต์ หรือเว็บไซต์ของคุณไม่เจอ และสุดท้ายไม่สามารถนำไปจัดอันดับได้นั่นเอง

2. ห้ามทำ Duplicate Content
การ Plagiarism ถือว่าผิดมหันต์เป็นอย่างมากในแง่ SEO อย่าคิดเพียงแค่ว่า คอนเทนต์เว็บหนึ่งติดอันดับแล้วเรา Copy เขามาแล้ว เราจะติดอันดับตาม สิ่งนี้คือสิ่งที่ผิดทั้งในแง่ SEO และทรัพย์สินทางปัญญา ที่เจ้าของเว็บต้นฉบับสามารถฟ้องคุณได้เลยทีเดียว

Google นั่นมีความฉลาดเป็นอย่างมาก หากมีการตรวจสอบแล้วพบว่า มีเว็บไซต์ Copy เกิดขึ้นมันจะพิจารณาจากอายุเว็บไซต์ที่มากกว่า และ Traffic ที่เยอะกว่าเสมอ เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณจะ Copy ยังไงก็ใช้ไม่ได้ผลอย่างแน่นอน

3. ห้ามใช้โปรแกรมสปินบทความ
มาถึงข้อนี้หลายคนคงสงสัยอะไรคือโปรแกรมสปินบทความ โปรแกรมสปินบทความคือ โปรแกรมที่ทำการ Re-write บทความใหม่ให้ใกล้เคียงกับต้นฉบับ คล้ายกับการ Duplicate ในเวอร์ชันที่ไม่มีใครจับได้

แต่โปรแกรมนี้ก็มีข้อเสียมหันต์คือ บทความที่ Generate ออกมาจากโปรแกรมนั้นอ่านไม่รู้เรื่อง อารมณ์เดียวกับการที่เราใช้ Google Translate แปลบทความยาว ๆ นั่นเอง

4. ห้ามสแปม Backlink
การจงใจสแปม Backlink คือวิธีของสายดำ เป็นการจงใจสร้าง Backlink มาที่เว็บไซต์หลักของเราด้วยปริมาณเยอะกว่าปกติอย่างมาก ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ยั่งยืน เพราะ Google สามารถตรวจสอบเราได้ หากเว็บที่เราใช้ทำ Backlink มีคุณภาพต่ำ เนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกัน Algorithm จะประเมินเว็บของคุณต่ำลงทันทีนั่นเอง

5. ห้ามใช้ Popup ที่ส่งผลไม่ดีต่อผู้ใช้งาน
ข้อนี้จะส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์ผู้ใช้ เช่น Pop-up โฆษณา, Pop-up ที่ lead ผู้คนไปเว็บอื่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้สร้างความรำคาญให้กับลูกค้า ทำให้เขาไม่อยากอยู่ในเว็บเรานาน ๆ นำไปสู่ Organic Traffic ที่ต่ำลง

คำถามการทำ SEO ที่พบบ่อย
มาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว เชื่อว่าทุกคนคงจะพอเข้าใจการทำงานของ SEO กันบ้างแล้ว แต่สำหรับใครที่ยังคงมีข้อสงสัย เราก็รวบรวมคำถามที่พบบ่อยไว้ตรงส่วนนี้แล้ว หวังว่าจะตอบคำถามของใครหลายคนที่ยังสงสัยได้ไม่มากก็น้อยครับ

SEO คืออะไร สำคัญอย่างไรกับธุรกิจออนไลน์ เริ่มก่อนยิ่งได้เปรียบแง่การตลาด Credit Photo : Freepik
การทำ SEO ใช้ระยะเวลานานแค่ไหน ?
การทำ SEO นั้นหลายคนคงคิดว่า ใช้เวลาไม่นาน ๆ จนทำให้อยากรีบเร่งทำให้ติดอันดับไว ซึ่งการทำแบบนี้ไม่ใช่การทำ SEO แบบยั่งยืน ซึ่งการทำ SEO อย่างมีคุณภาพนั้น ต้องอาศัยเวลาประมาณ 4-8 เดือน โดยมีปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

  • Keyword ที่เราใช้มีคู่แข่งหรือไม่
  • ระบบหลังบ้านเป็นอย่างไร
  • คอนเทนต์ในเว็บมีความน่าเชื่อถือเพียงใด
  • User Experience ของเว็บไซต์เรา
  • ปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย

SEO ผลลัพธ์อยู่ได้นานไหม ?
โลก Digital นั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา SEO ก็เช่นกัน ซึ่งผลมาจากการที่ Google นั้นมีการอัปเดต Algorithm ที่บ่อยมาก ๆ ซึ่งหาก Keyword ของคุณมีการแข่งขันสูงอันดับอาจจะถูกเปลี่ยนแปลงเป็นรายเดือนเลยก็ว่าได้

แล้วทำอย่างไรถึงทำให้เว็บไซต์ของคุณอยู่อันดับแรก ๆ ตลอด ?

คำตอบคือการหมั่นอัปเดตเว็บไซต์ของคุณให้ตรงตามเกณฑ์ของ Google เสมอ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ Content SEO หรือ On-Page SEO เพื่อให้เว็บของคุณถูกค้นหาเจอเป็นอันดับแรก ๆ ตลอด

SEO ทำเฉพาะทางด้านเทคนิคก็ติดอันดับได้ ?
การทำ SEO เฉพาะทางด้านเทคนิค แทบจะไม่สามารถให้ติดเว็บอันดับได้เลย เพราะต้องอาศัย 3 ปัจจัยทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น  On-Page SEO Optmization, Link Building และ Website Promotion, และสุดท้าย Technical SEO เช่น โครงสร้างเว็บไซต์ และ Coding เป็นต้น

ซึ่งการทำงานของทั้ง 3 ปัจจัยนี้ของคุณทำได้อย่างครบถ้วนจะนำไปสู่อันดับที่ดีให้กับเว็บไซต์ของคุณอย่างแน่นอน

บทสรุป

เป็นอย่างไรบ้างครับ เกี่ยวกับการทำ SEO เชื่อว่าหลายคนคงจะได้ประโยชน์ และเข้าใจว่า SEO คืออะไรกันแล้ว ทางเรา Nerdoptimize หวังว่าข้อมูลเหล่านี้แบบไม่กั๊กของเรา จะทำให้ท่านสามารถนำไปปรับพัฒนาเว็บของคุณได้ อย่างแน่นอน

สำหรับใครที่ยังไม่รู้จะเริ่มยังไง Nerdoptimize พร้อมให้คำปรึกษา ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย !

อ้างอิง https://nerdoptimize.com

related