svasdssvasds

“สรรเพชญ” สวน “อุ๊งอิ๊ง” อุปสรรคฟื้นเศรษฐกิจคือความดื้อรั้นของรัฐบาล

“สรรเพชญ” สวน “อุ๊งอิ๊ง” อุปสรรคฟื้นเศรษฐกิจคือความดื้อรั้นของรัฐบาล

“สรรเพชญ” สวน “อุ๊งอิ๊ง” อุปสรรคในการฟื้นเศรษฐกิจคือความดื้อรั้นของรัฐบาลไม่ใช่ ธนาคารแห่งประเทศไทย ด้าน อุ๊งอิ๊งไม่หวั่นไหว ไม่เล่นเกมส์โต้ตอบเพราะไม่เป็นประโยชน์ ลั่นมีอำนาจหน้าที่อยู่ในมือ มั่นใจว่าทำได้ ทุกอย่างกำลังขับเคลื่อน ไม่มีทางที่จะแย่กว่าเดิม

นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้ความเห็นจากกรณีที่ น.ส.แพทองธาร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวในงานของพรรคว่า กฎหมายพยายามจะให้ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นอิสระจากรัฐบาล ซึ่งการเป็นอิสระจากรัฐบาลนั้นเป็นปัญหาและอุปสรรคในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพราะนโยบายการคลังถูกใช้งานข้างเดียวอย่างหนัก จนทำให้หนี้สาธารณะสูงขึ้นทุกปี จากการที่รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณแบบขาดดุลมาโดยตลอด  

“สรรเพชญ” สวน “อุ๊งอิ๊ง” อุปสรรคฟื้นเศรษฐกิจคือความดื้อรั้นของรัฐบาล

นายสรรเพชญได้กล่าวว่าการที่กฎหมายพยายามให้ความเป็นอิสระของ ธปท. นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วและรัฐบาลควรภูมิใจที่มีกฎหมายลักษณะนี้เพราะเป็นเกราะคุ้มครองรัฐบาลไม่ให้มีข้อครหาในการดำเนินงาน ส่วนการที่ น.ส.แพทองธาร คิดแบบนั้นเป็นการคิดแบบไม่เข้าใจบทบาทของตนเองในฐานะพรรคแกนนำของรัฐบาล เนื่องจากโดยหลักการแล้วการทำหน้าที่ของธนาคารกลางทั่วโลกที่ได้รับมอบหมายคือการควบคุมเสถียรภาพของเศรษฐกิจหรือเงินเฟ้อ ซึ่งต้องรักษาความเป็นองค์กรอิสระให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้รัฐบาลเข้ามาแทรกแซงและกดดัน

อีกทั้งบทเรียนในอดีตที่ผ่านมา ธปท. เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าขาดความเป็นอิสระและได้รับแรงกดดันจากรัฐบาลช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง จากความพยายามในการใช้หนี้ IMF ก่อนกำหนด แต่พอผู้ว่าการ ธปท. ในสมัยนั้นไม่เห็นด้วยก็กดดันให้ออกจากตำแหน่งแล้วแต่งตั้งคนใหม่ที่สามารถตอบสนองความต้องการของนายทักษิณได้มาดำรงตำแหน่งแทน สิ่งนี้จึงไม่ควรเกิดขึ้นอีกในอนาคต

นอกจากนี้ในเรื่องของการขาดดุลงบประมาณที่รัฐบาลใช้เป็นวิธีการในการบริหารงบประมาณมาโดยตลอดนั้น สาเหตุเนื่องมาจากรายจ่ายที่ต้องใช้ของรัฐบาลมีมากกว่ารายรับที่ได้รับในแต่ละปี

ดังนั้น รัฐบาลควรหาวิธีการที่จะสร้างรายรับใหม่ให้รัฐบาล ไม่ใช้ดึงดันคิดแต่จะทำให้เงินบาทเป็นเงินดิจิทัลแล้วเอาเงินดิจิทัลไปแลกเงินบาทเป็นวงจรซ้ำไปซ้ำมาให้ประชาชนเกิดความสับสน ว่าจะมีการตั้งแบงก์ชาติแห่งที่ 2 มาปั้มเงินเข้าระบบอีกหรือไม่ เพราะการกระทำในลักษณะนี้ตนกังวลว่าอาจจะขาดการตรวจสอบและมีความสุ่มเสี่ยงที่จะกระทำผิดกฎหมายฯ และสามารถปั๊มเงินได้โดยที่ไร้การควบคุม

เสมือนว่ารัฐบาลอยากจะให้มีธนาคารแห่งประเทศไทยแห่งที่ 2 ขึ้นภายใต้การควบคุมของรัฐบาล ซึ่งอาจเป็นเพราะรัฐบาลในชุดของนายเศรษฐา ได้รับความเห็นที่ไม่ค่อยอยากฟังเท่าใดนักจาก ธปท. ทั้งในเรื่องของดอกเบี้ยนโยบายและเอกสารที่ได้ส่งความเห็นและข้อสังเกตต่อคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet โดยมีความเห็นหลัก ๆ ว่าควรให้เฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น เพื่อแบ่งเบาภาระค่าครองชีพและมีแนวโน้มที่จะบริโภคสินค้าภายในประเทศมากกว่าซื้อสินค้านำเข้า

รัฐบาลควรที่จะนำเงิน 500,000 กว่าล้านบาทนั้นไปลงทุนในเรื่องของโครงการที่จะสามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง ว่าจะเป็นเรื่องการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ การให้เรียนฟรีอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการ Upskill และ Reskill ให้ประชาชนมีทักษะในการทำงาน สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคปัจจุบัน หรือการสร้างรถไฟทางคู่ในวงเงินงบประมาณขนาดนี้ก็สามารถพัฒนาได้มากกว่า 10 สาย เป็นต้น สิ่งนี้จะเกิดประโยชน์กับประเทศชาติมากกว่า ซึ่งจากความเห็นนี้ถือได้ว่าเป็นความเห็นที่จริงใจกับประเทศและกล้าหาญในการทำหน้าที่ของ ธปท.

นายสรรเพชญ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า หากรัฐบาลยังคงดึงดันที่จะทำนโยบาย Digital Wallet โดยใช้แหล่งงบประมาณที่ได้เคยแถลงไปก่อนหน้านี้ว่าจะมีที่มาจาก 3 แหล่ง คือการขยายกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 วงเงิน 175,000 ล้านบาท การดำเนินการผ่าน ธ.ก.ส. วงเงิน 172,300 ล้านบาท โดยรัฐบาลจะรับภาระในการใช้คืนงบประมาณภายหลัง และบริหารจัดการเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 วงเงิน 175,000 ล้านบาทนั้น

ตนรู้สึกเป็นห่วงการคลังของประเทศเป็นอย่างมาก เพราะในปี 2568 รัฐบาลเองก็ต้องตั้งงบประมาณแบบขาดดุลและการขยายวงเงินงบประมาณก็ยิ่งจะทำให้งบประมาณในปี 2568 ขาดดุลเพิ่มไปอีก อีกทั้งรัฐบาลก็ต้องหาเงินมาใช้คืนให้กับ ธ.ก.ส. ก็เป็นการสร้างหนี้ให้รัฐบาลเช่นเดียวกันถึงแม้ว่ารัฐบาลจะเล่นแร่แปรธาตุว่าเป็นวิธีการบริหารงบประมาณไม่ใช้หนี้ แต่สุดท้ายแล้วมันก็คือหนี้ที่รัฐบาลต้องชดใช้เช่นเดิม

ขณะที่ในงาน ‘10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10’ งานแสดงวิสัยทัศน์และความคืบหน้านโยบายต่างๆ ของพรรคเพื่อไทย หลังจากจัดตั้งรัฐ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า  ในนามหัวหน้าพรรคเพื่อไทย  ขอยืนยันว่าเราตัดสินใจถูกต้องมากที่จัดตั้งรัฐบาลผสมเมื่อ 10 เดือนที่แล้ว ปัญหาปัจจุบันที่หมักหมมไว้จากการปฏิวัติรัฐประหาร ทั้งระบบราชการที่โตเกินไป ความอืดอาดในการทำงาน ด้วยโครงสร้างที่ไม่ทันต่อเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยี เศรษฐกิจ และภัยคุกคามทางความมั่นคงที่พัฒนาไปเร็วมาก รวมถึงภัยต่อเยาวชนชาติ จากยาเสพติด ทำให้ประชาชนของชาติอ่อนแอ ประชาชนขาดโอกาสในการทำมาหากิน เศรษฐกิจใต้ดินสูงเป็นประวัติการณ์

“สรรเพชญ” สวน “อุ๊งอิ๊ง” อุปสรรคฟื้นเศรษฐกิจคือความดื้อรั้นของรัฐบาล

เพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองที่มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศมากที่สุด หากไม่เป็นแกนนำรัฐบาลผสม คงยากที่ปัญหาหมักหมมจะแก้ไขได้ กฎหมายพยายามจะให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอิสระจากรัฐบาล เรื่องนี้เป็นปัญหาและอุปสรรคในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพราะนโยบายการคลังถูกใช้งานข้างเดียวอย่างหนัก จนทำให้หนี้สูงขึ้นทุกปี จากการตั้งงบประมาณขาดดุล ถ้านโยบายการเงินที่บริหารโดยธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ยอมเข้าใจและร่วมมือ ประเทศจะไม่มีทางลดเพดานนี้ได้ 10 เดือนที่ผ่านมา เราใช้ความพยายามในการวิเคราะห์  เข้าใจ เพื่อแก้ปัญหาที่ยาก และซับซ้อน และก้าวเดินต่อในทุกมิติ เพราะเราเสียเวลาและโอกาสไปถึงเกือบ 2 ทศวรรษจากการรัฐประหาร  เรามั่นใจว่าเราทำได้ และจะทำให้ได้คะแนนเต็ม 10 ก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า

นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ในมิติทางเศรษฐกิจ  เริ่มต้นด้วยการเติมเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพราะเงินถูกดูดออกจากระบบไปมาก จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในอาเซียน และค่าแรงที่เพิ่มขึ้นเป็น 400 บาท จะทำให้ทุกคนต้องปรับตัว เพิ่มผลผลิตจากความพอกินของพนักงาน พรรคเพื่อไทยจะผลักดันเศรษฐกิจในทุกมิติ ไม่ใช่แค่เติมเงินและเพิ่มค่าแรง แต่รวมไปถึงเม็ดเงินใหม่จากต่างประเทศจะเข้ามาจากการลงทุนและการสร้างโอกาสให้คนไทยทุกคน โดยการนำของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน 

“สรรเพชญ” สวน “อุ๊งอิ๊ง” อุปสรรคฟื้นเศรษฐกิจคือความดื้อรั้นของรัฐบาล

ในมิติของการบริหารราชการแผ่นดิน จะเปลี่ยนจากรัฐบาลอุ้ยอ้าย อืดอาด ไม่โปร่งใส เป็นรัฐบาลดิจิทัล บริหารด้วยความรวดเร็ว โปร่งใสตรวจสอบการทำธุรกรรมต่างๆได้ และมี super app ในการบริการ ทุกมิติของภาครัฐ และเราจะปรับโครงสร้างกระทรวง ทบวง กรม ใหม่อีกครั้งหนึ่งเร็วๆ นี้ พร้อมจะแก้กฎหมายทางเศรษฐกิจอีกหลายฉบับ  ทั้งการยกเลิกกฎหมายล้าสมัย เขียนกฏหมายใหม่ให้ไทยกลับมาเป็น Hub ทั้งการบินและการเงิน ของอาเซียนให้ได้ 

ในด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ จะผูกมิตรกับทุกมหาอำนาจ และยินดีให้ไทยเป็นที่เจรจาความขัดแย้งจากทุกฝ่าย 

พรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลที่มีศักยภาพ มีนโยบายที่ดี มีรัฐมนตรีที่เก่ง สร้างอนาคตให้ประเทศไทย และที่สำคัญ จะต้องสามารถผลักดันนโยบายให้เกิดขึ้นจริงในอนาคต แม้คู่แข่งพยายามทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อเรา ด้อยค่าในสิ่งที่เราทำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ ในสมัยไทยรักไทย เกิดวาทกรรม “30 บาทตายทุกโรค” แต่ทุกอย่างผ่านไป ด้วยการทำงานนโยบายสำเร็จ ผลงานเท่านั้นจะพิสูจน์ ไม่ใช่วาทกรรม หรือการใส่ความต่อว่าจากใคร เพราะ 30 บาทรักษาทุกโรคใช้ได้จริง และกำลังเดินหน้าพัฒนาครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี เป็น 30 บาทรักษาทุกที่

นางสาวแพทองธาร ยังได้ประกาศวิสัยทัศน์ พรรคเพื่อไทยในอนาคต จะเป็นพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลที่มีศักยภาพ มีนโยบายที่ดี  สร้างอนาคตให้ประเทศไทย พร้อมเปิดตัว ทีม PTP Academy  อย่างไม่เป็นทางการ (Soft Launch) หน่วยงานพัฒนาศักยภาพบุคลากร สร้างองค์ความรู้ทางวิชาการ เปิดพื้นที่เชื่อมโยงการทำงานของพรรคกับหน่วยงานข้างนอก ซึ่งได้เริ่มดำเนินการแล้วระยะหนึ่ง มีการจัดอบรมเพิ่มองค์ความรู้ให้กับ สส.ของพรรค เพื่อให้การทำงานการเมืองมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 

“พรรคเพื่อไทยจะครองสติ ไม่หวั่นไหว ไม่เล่นเกมส์โต้ตอบไปมาเพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เรามีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบอยู่ในมือซึ่งกำลังลงมือทำ และเราทำได้ อย่างแน่นอน ในขณะที่นโยบายกำลังเดินไปข้างหน้า พรรคเพื่อไทยก็กำลังพัฒนาไม่หยุดยั้งเพื่ออนาคตของประเทศไทย  รัฐบาลเพิ่งปรับ ครม.  ซึ่งมีเสียงจากนักวิชาการหลายท่านที่น่าเชื่อถือได้ให้คำยืนยันว่า ถูกฝาถูกตัวมากที่สุด ทุกอย่างกำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้า ไม่มีทางเลยที่เราจะแย่กว่าเดิม  เรารู้ว่าการทำงานให้บ้านเมืองนั้น เป็นงานที่ Thank Less and End Less ต้องทุ่มเทและไม่มีวันสิ้นสุด แต่เราเต็มใจที่จะทำ เพราะเราเป็นพรรคการเมืองแห่งการเปลี่ยนแปลงเพื่อความเจริญของประเทศ” นางสาวแพทองธาร กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related