อย่าเรียกหาทหารอีก! เสียงจากคนพฤษภาประชาธรรม อ่านการเมืองไทย

วันที่ 17 พฤษภาคม 2568 ในวาระครบรอบ 33 ปี เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ มูลนิธิพฤษภาประชาธรรม และกลุ่มญาติวีรชนพฤษภา 35 จัดเวที "บทเรียนการเมืองไทย ทำอย่างไรประชาธิปไตยได้ไปต่อ" เพื่อระดมทุนสร้างสวนสาธารณะ ที่สวนสันติพร อนุสรณ์สถานเหตุการณ์พฤษภา 2535 โดยมี สรกล อดุลยานนท์, สมภพ รัตนวลี และปริญญา เทวานฤมิตรกุล ดำเนินรายการโดย จอมขวัญ หลาวเพ็ชร

ปริญญา กล่าวว่า เรื่องใหญ่คือตอนปี 2535 เราคิดว่าทุกอย่างต้องหมดไป ทั้งการนองเลือด การรัฐประหาร แต่กลายเป็นว่าในปีนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าพูดว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เหล่านั้นอีก และอนุสาวรีย์พฤษภาประชาธรรมก็ยังไม่เสร็จเสียที แม้ตัวอนุสรณ์สถานจะเสร็จแล้วแต่พื้นที่กว่า 2 ไร่ครึ่งในไร่ "สันติพร" ถนนราชดำเนิน ก็ยังปรับปรุงเป็นสวนสาธารณะไม่เสร็จเสียที

จึงถือโอกาสจัดกิจกรรมเพื่อระดมทุนจากประชาชนทำให้พื้นที่นี้บันทึกเรื่องราวทางการเมืองให้สังคมได้เรียนรู้จากอดีต จากอนุสรณ์ 6 ตุลา 19 ภายใน ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เดินต่อมาถึงสวนสันติพร ระลึกถึงพฤษภา 35 บนถนนราชดำเนิน เลยไปถึงแยกคอกวัวมีอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ไปจบที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผลักดันให้เกิด "Democracy Trail" ได้ โดยหวังว่าอีก 2 ปีข้างหน้า "ครบรอบ 35 ปี พฤษภา 35" เราจะได้เปิดใช้สวนสาธารณะแห่งนี้

"เป็นหน้าที่ของคนที่รอดจากกระสุนปืนในวันนั้น ที่ต้องสื่อสารและเตือนสังคมไม่ให้เรียกหาอำนาจนอกระบบ ไม่เอาคนไปล้อมคูหาเลือกตั้ง เรียกหาทางลัดอีก ทหารและผู้ร่างรัฐธรรมนูญเขาเรียนรู้และมีบทเรียนตลอดนั่นทำให้เกิดรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่แก้ไขยากมากที่สุด แล้วพวกเราประชาชนหล่ะ? จึงต้องมีพื้นที่ย้ำเตือนว่า เราแตกต่าง แตกแยก คิดไม่เหมือนกัน เชียร์พรรคการเมืองคนละพรรคกันได้ แต่เราจะแตกแยกกันภายใต้ประชาธิปไตยเท่านั้น" ปริญญา กล่าว

ด้านสรกล อดุลยานนท์ หรือ หนุ่มเมืองจันทร์ กล่าวช่วงหนึ่งว่า พฤษภา35 เป็นบทเรียนสำคัญแก่กองทัพ ไม่ใช่บทเรียนว่าจะทำอย่างไรที่จะรักษาประชาธิปไตย แต่เป็นบทเรียนว่าจะรัฐประหารอย่างไรไม่ให้พ่ายแพ้ ประชาธิปไตยไม่มีทางลัดและพวกเราต้องเชื่อในระบบและที่มาของผู้มีอำนาจ ในวันนั้นคนไม่เอาทหาร เรียกร้องนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้ง สุดท้ายก็ได้นายกฯ อานันท์ ปัญยารชุน ผู้คนดีใจ รวมถึงตนเองด้วย แต่ลืมไปว่า นายกฯอานันท์ ก็ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเช่นกัน

"เบื่อทหารก็เรียกหานักการเมืองพลเรือน ต้องระวังโดยเฉพาะวันนี้ที่แดงไม่เอาส้ม ส้มไม่เอาแดง บางคนไม่เอาทั้งส้มทั้งแดง ก็ไปเรียกหาเขียว มันไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง"

สรกล ยังมองว่า "การรัฐประหารในยุคใหม่" อาจไม่ใช่การเอารถถังออกมาแล้วประกาศยึดอำนาจอีกต่อไป แต่ถูกแฝงอยู่ในเงาองค์กรอิสระ ที่สามารถปลดนายกฯ ได้ ยุบพรรคได้ กลายเป็นรีโมทของผู้มีอำนาจเขย่าการเมืองให้เป็นอย่างที่ต้องการได้ และชวนทุกคนจับตาวันที่ 13 มิถุนายน 2568 นี้ ที่ศาลฎีกาฯ เรียก "ทักษิณ" ไปชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องชั้น 14

สมภพ รัตนวลี หรือ ติ่งข่าว กล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เลวร้ายที่สุด จนทำให้รู้สึกว่า "คณะรัฐประหารมันชนะหว่ะ ตอนนี้พวกเราเองแตกเป็นเสี่ยงๆ ตั้งประชาชนและคนมีอำนาจ" สะท้อนจากวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฝ่ายไม่ต้องการให้แก้ก็มีอำนาจกระจายตามที่ต่างๆ ส่วนฝ่ายที่ต้องการแก้ เช่น พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล ก็ทะเลาะกันเอง จนคาดว่าเราจะไม่ได้เห็น รัฐธรรมนูญใหม่ ก่อนการเลือกตั้ง 2570 นี้

"การเลือกตั้งครั้งล่าสุด ทำให้ผมรู้สึกว่าจะมีพรรคการเมืองที่พาเราออกจากวงล้อมได้ แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครทำ คณะรัฐประหารทิ้งมรดกไว้ให้มากไปหมด เช่น ยุทธศาสตร์ 20 ปี วางกับดักไว้หมดแล้ว มีทางรอดเดียวคือพวกเราต้องรวมตัวกันแก้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เท่านั้น ไม่งั้นไม่รอด"