svasdssvasds

อดีตบิ๊กทหารอากาศ ชี้ รักชาติแบบฉลาด ใช้การทูตนำ ไม่ใช่กำลังรบ

อดีตบิ๊กทหารอากาศ ชี้ รักชาติแบบฉลาด ใช้การทูตนำ ไม่ใช่กำลังรบ

บิ๊กทหารอากาศ ย้ำ รักชาติด้วยสติปัญญา การทูตคือความเข้มแข็ง การใช้กำลังคือหายนะที่โลกประณาม ประเทศต้องการผู้นำที่นำด้วยปัญญา ไม่ใช่แค่ตำแหน่ง!

SHORT CUT

  • การใช้กำลังทหารนำมาซึ่งผลเสียมากกว่าผลดี อดีตบิ๊กทอ.ชี้ว่า หากไทยเป็นผู้เริ่มใช้กำลัง แม้จะอ้างว่าเพื่อปกป้องแผ่นดิน แต่ประชาคมโลกจะมองว่าไทยเป็นผู้เริ่มใช้ความรุนแรงทันที ซึ่งจะทำให้ อาเซียนไม่เข้าข้าง, สหประชาชาติอาจออกมติประณาม, สหภาพยุโรปและประเทศต่างๆ อาจมองไทยเป็นประเทศก้าวร้าว และความเชื่อมั่นในเวทีโลกที่สะสมมานานจะพังทลายลง นอกจากนี้ยังต้อง เสียชีวิตของลูกหลานที่ต้องตายในสนามรบ ซึ่งสงครามส่วนใหญ่จบลงด้วยการเจรจาอยู่แล้ว
  • การรักชาติที่แท้จริงคือการใช้สติปัญญาและการทูตนำ พล.อ.อ.ฐากูร เชื่อว่า การรักชาติไม่จำเป็นต้องใช้กำลังรบ สิ่งที่ประเทศต้องการคือ ผู้นำรัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์ สามารถวางแผนการเจรจาทางการทูตได้อย่างมีประสิทธิภาพ บรรลุเป้าหมายโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อหรือทรัพยากร และยังเชื่อว่าคนไทยจำนวนมากอยากเห็นประเทศยืนหยัดอย่างสง่างามบนเวทีโลกด้วย สติปัญญาและศักยภาพทางการทูต ไม่ใช่ด้วยอำนาจการยิง การเจรจาทางการทูตไม่ใช่สัญลักษณ์ของความอ่อนแอ แต่เป็นการแสดงออกถึง วุฒิภาวะและความเข้มแข็งทางสติปัญญา
  • เรียกร้องให้รัฐบาลแสดงท่าทีที่มั่นใจและเป็นมืออาชีพในการเจรจา แม้ไม่ได้สนับสนุนรัฐบาลชุดปัจจุบัน แต่อดีตบิ๊กทอ.พร้อมสนับสนุนการเจรจาและชนะสงครามด้วยการทูต อย่างไรก็ตาม ยัง ไม่เห็นท่าทีที่มั่นใจ ชัดเจน และเป็นมืออาชีพของรัฐบาล ในเรื่องนี้ โดยเฉพาะการสื่อสารของทีมโฆษกรัฐบาลที่ช้าและดูเหมือนไม่เข้าใจข้อมูลอย่างถ่องแท้ ประเทศต้องการผู้นำที่นำด้วยปัญญา ไม่ใช่แค่ตำแหน่งและอำนาจ

บิ๊กทหารอากาศ ย้ำ รักชาติด้วยสติปัญญา การทูตคือความเข้มแข็ง การใช้กำลังคือหายนะที่โลกประณาม ประเทศต้องการผู้นำที่นำด้วยปัญญา ไม่ใช่แค่ตำแหน่ง!

ในห้วงเวลาที่ประเด็นความขัดแย้งตามแนวชายแดนถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยและมีความเห็นต่างหลากหลาย พล.อ.อ.ฐากูร นาครทรรพ นายทหารนอกประจำการ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านข้อความบนเฟซบุ๊ก Thak Na ของท่าน โดยเสนอแนวคิดเกี่ยวกับ "รักชาติแบบไหน" ในมุมมองที่แตกต่างออกไปจากกระแสที่อาจเรียกร้องให้มีการใช้กำลัง พล.อ.อ.ฐากูร นาครทรรพ ซึ่งระบุว่าท่านเป็นทหารมาตั้งแต่อายุ 16 ปี และรับราชการจนเกษียณอายุเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 ยืนยันว่าความรักชาติของท่านนั้นไม่เป็นรองใคร แต่ท่านอยากจะให้ข้อคิดว่า การรักชาติอย่างแท้จริงนั้น ไม่จำเป็นต้องทำสงครามเสมอไป โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่คนจำนวนไม่น้อยเรียกร้องให้ไทยใช้กำลังผลักดันกัมพูชาออกจากพื้นที่ขัดแย้ง ท่านชวนให้คิดอีกมุมว่า การรักชาติจริง ๆ จำเป็นต้องใช้กำลังรบหรือไม่
เนื้อหา

พล.อ.อ.ฐากูร นาครทรรพ ชี้ให้เห็นถึงผลเสียที่จะตามมาอย่างมหาศาล หากประเทศไทยเป็นฝ่ายเริ่มต้นใช้กำลัง แม้จะอ้างว่าเป็นการกระทำ "เพื่อปกป้องแผ่นดิน" แต่ในสายตาของเวทีโลก ไทยจะถูกมองว่าเป็น "ผู้เริ่มใช้ความรุนแรง" ทันที ซึ่งผลลัพธ์ที่คาดว่าจะตามมาคือ ประเทศสมาชิกอาเซียนอาจจะไม่เข้าข้างไทย องค์การสหประชาชาติ (UN) อาจมีการออกมติประณาม ขณะที่สหภาพยุโรป (EU) และประเทศอื่น ๆ อาจมองไทยในฐานะ "ประเทศก้าวร้าว" สิ่งนี้จะนำไปสู่การ พังทลายของความเชื่อมั่นในเวทีโลกที่สะสมมาอย่างยาวนาน

อดีตบิ๊ก ท.อ. ย้ำว่าเราจะเสียมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสูญเสียชีวิตของบุคลากรสำคัญอย่าง "ชีวิตของลูกหลานที่ต้องตายในสนามรบ" ซึ่งท่าน contrasts ว่า ในขณะเดียวกัน คนที่ปลุกกระแสอาจจะแค่นั่งสะใจอยู่หน้าจอโทรศัพท์ และคนที่หวังผลทางการเมืองก็จะนั่งยิ้มกริ่ม เพราะเห็นว่าหากฝ่ายตรงข้ามพังลง ตัวเองก็จะได้เกิด ท่านยังกล่าวด้วยว่าสงครามทุกสงครามจบลงด้วยการเจรจา ยกเว้นสงครามที่จบลงด้วยการยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข หรือการทำลายล้างระบอบศัตรูอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นไปได้ยากมากในทางปฏิบัติและแทบไม่เกิดขึ้นแล้วในโลกปัจจุบัน เนื่องจากกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศคอยกำกับให้สงครามเป็น "มาตรการสุดท้าย" และอยู่ภายใต้กรอบที่มีเหตุผล

ดังนั้น สิ่งที่ประเทศชาติต้องการในยามนี้ ในมุมมองของ พล.อ.อ.ฐากูร นาครทรรพ ไม่น่าใช่การบดขยี้กำลังทหารของฝ่ายตรงข้ามด้วยแสนยานุภาพทางทหารที่เหนือกว่า หรือการใช้กำลังรบต่าง ๆ หากแต่เป็นผู้นำรัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์ ซึ่งสามารถวางแผนการเจรจาทางการทูตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของประเทศชาติ โดยไม่จำเป็นต้องเสียเลือดเนื้อหรือทรัพยากรแม้แต่น้อย ท่านเชื่อว่าคนไทยอีกจำนวนมากปรารถนาที่จะเห็นประเทศไทยยืนหยัดอย่างสง่างามบนเวทีโลกด้วย สติปัญญาและศักยภาพทางการทูต ไม่ใช่ด้วยอำนาจการยิง

พล.อ.อ.ฐากูร นาครทรรพ ยังเชิญชวนให้ประชาชน จงอย่ากลัวที่จะแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง และอย่าหวั่นไหวกับคำว่า "ไม่รักชาติ" เพราะท่านเชื่อว่า การรักชาติที่แท้จริงคือการกล้าคิด กล้าพูด และกล้าที่จะตักเตือนกันด้วยเหตุผล ก่อนที่ปัญหาจะบานปลายจนเกินแก้ไข ท่านในวัย 61 ปี ซึ่งเป็นทหารรับใช้ชาติมาตั้งแต่วัยเยาว์ ปรารถนาที่จะเห็นการรักชาติในแนวทางที่ทุกชีวิตปลอดภัย และมองว่า โต๊ะเจรจาทางการทูตไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งความอ่อนแอ หากแต่เป็นการแสดงออกถึงวุฒิภาวะและความเข้มแข็งทางสติปัญญา

อย่างไรก็ตาม แม้ท่านจะไม่ได้กาคะแนนให้รัฐบาลชุดปัจจุบัน ท่านและเพื่อน ๆ อีกหลายคนก็พร้อมสนับสนุนการเจรจาและชัยชนะด้วยการทูต แต่สิ่งที่ยังไม่เห็นคือ ท่าทีที่มั่นใจ ชัดเจน และเป็นมืออาชีพของรัฐบาล ท่านขอร้องให้รัฐบาลช่วยทำสิ่งนี้เพื่อให้ประชาชนมั่นใจได้ ท่านยังแสดงความขัดใจต่อทีมงานโฆษกของรัฐบาลว่า สื่อสารกับประชาชนช้า ไม่ทันการณ์ และเหมือนคนที่เพิ่งอ่านสรุปมาเพียงครึ่งหน้า เพื่อให้คนทั้งประเทศเชื่อมั่น ท่านเรียกร้องให้รัฐบาล เลิกพูดแบบคนกำลังหลบในปี๊บ (สำนวนไทยที่หมายถึงการหลีกเลี่ยงเผชิญหน้าปัญหา) และออกมานำหน้าประชาชน ประเทศไทยต้องการคนที่นำด้วยปัญญา ไม่ใช่แค่ตำแหน่งและอำนาจ

โดยสรุปแล้ว ข้อคิดจากอดีตนายทหารอากาศอย่าง พล.อ.อ.ฐากูร นาครทรรพ ชี้ให้เห็นว่าการรักชาติในบริบทปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความขัดแย้งตามแนวชายแดน ไม่จำเป็นต้องมุ่งไปที่การใช้กำลังทางทหาร ซึ่งมีแต่จะนำมาซึ่งความสูญเสีย โดยเฉพาะชีวิตผู้คน และส่งผลเสียต่อสถานะของประเทศในเวทีโลก ท่านเน้นย้ำว่าแนวทางที่เหมาะสมกว่าคือ การใช้สติปัญญาและศักยภาพทางการทูตผ่านการเจรจา ซึ่งไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นความเข้มแข็งทางสติปัญญา ท่านยังเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงท่าทีที่ชัดเจน เป็นมืออาชีพ และนำประชาชนด้วยปัญญา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนทั้งประเทศในการแก้ไขปัญหาโดยไม่จำเป็นต้องใช้กำลัง และส่งเสริมแนวคิดว่าการรักชาติที่แท้จริงคือการกล้าแสดงความคิดเห็นและตักเตือนด้วยเหตุผล

related