SHORT CUT
"ชาติ" คือความรู้สึกที่รัฐสร้างขึ้น ด้วยประวัติศาสตร์ สัญลักษณ์ (เครื่องแบบ) และศัตรูร่วม เพื่อหลอมรวมผู้คน แต่ต้องไม่ให้คุณค่า "ชาติ" เหนือกว่า "ความเป็นมนุษย์"
ในโลกสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยเส้นแบ่งทางภูมิศาสตร์และอำนาจ คำว่า "ชาติ" (Nation) "รัฐ" (State) และ "ประเทศ" (Country) ดูเหมือนจะถูกใช้สลับกันไปมาจนกลายเป็นสิ่งเดียวกัน ทว่าในบทสัมภาษณ์เชิงลึกนี้ ผศ.สิทธารถ ศรีโคตร หรือ อาจารย์บูม อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างอันสำคัญที่อยู่เบื้องหลังคำเหล่านี้ พร้อมทั้งเจาะลึกถึงบทบาทของ "เครื่องแบบ" ในฐานะเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างและหล่อหลอมความรู้สึกร่วมของคนในสังคม
ผศ.สิทธารถ เริ่มต้นด้วยการอธิบายว่า "ประเทศ" นั้นคือเพียงพื้นที่ทางกายภาพ เช่น ทุ่งหญ้าหรือภูเขาที่อาจมีคนอาศัยอยู่หรือไม่ก็ได้ ส่วน "รัฐ" คือพื้นที่ที่ถูกจัดระเบียบด้วยโครงสร้างอำนาจและการปกครองของมนุษย์ที่ชัดเจน แต่สิ่งที่ซับซ้อนและน่าสนใจที่สุดคือ "ชาติ" ซึ่งเป็นเพียง "ความรู้สึก" และ "ความผูกพัน" ที่ทำให้คนในรัฐรู้สึกว่าเป็น "พวกเดียวกัน" ความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ต้องอาศัยการสร้างขึ้นอย่างมีเป้าหมายและเป็นระบบ
ในอดีต คำว่า "ชาติ" เคยมีความหมายถึง "เผ่า" หรือชนเผ่าที่มีจำนวนคนไม่มากนัก การเป็นพวกเดียวกันจึงเกิดขึ้นได้ง่ายดายจากความใกล้ชิดทางสายเลือด ภาษา หรือประเพณี แต่เมื่อรัฐขยายใหญ่ขึ้นและมีประชากรจำนวนมหาศาล การจะทำให้ผู้คนหลายเชื้อชาติ หลากภาษา และต่างวัฒนธรรมรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง และนี่เองที่ทำให้รัฐต้องสรรหาวิธีการต่างๆ มาใช้ในการสร้างชาติ และหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดก็คือการใช้ "สัญลักษณ์" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "เครื่องแบบ"
ผศ.สิทธารถ ได้สรุปกระบวนการสร้างชาติไว้เป็นสามเสาหลักที่ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบเพื่อหลอมรวมผู้คนให้เป็นหนึ่งเดียว
การสร้างที่มาร่วมกัน โดยรัฐจะสร้างประวัติศาสตร์ฉบับทางการขึ้นมาเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของบรรพบุรุษร่วมกัน และหล่อหลอมสำนึกว่าทุกคนมีส่วนในการสร้างชาติ ไม่ว่าจะเป็นคนจากภาคไหน เชื้อชาติอะไร ก็ถูกรวมอยู่ในเรื่องเล่าเดียวกันนี้ โดยเครื่องมือสำคัญที่ใช้คือระบบการศึกษา ตำราเรียน และสื่อต่างๆ เพื่อให้คนรู้สึกว่ามีรากเหง้าร่วมกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน
การสร้างสัญลักษณ์ร่วมกัน โดยสัญลักษณ์เหล่านี้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของความรู้สึกเป็นพวกพ้องที่จับต้องได้ เช่น ธงชาติ ที่เป็นตัวแทนของรัฐ เพลงชาติ ที่เป็นเสียงแห่งความรู้สึกร่วม หรือแม้กระทั่งรูปร่างของแผนที่ประเทศที่ถูกนำไปใช้ในงานศิลปะและสื่อต่างๆ ก็ล้วนเป็นสัญลักษณ์ที่ตอกย้ำความเป็นหนึ่งเดียว แต่ที่ทรงพลังและใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันที่สุดอย่างหนึ่งคือ เครื่องแบบ อาจารย์ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ส่วนตัวว่า เมื่อเห็นเด็กนักศึกษาใส่เสื้อของมหาวิทยาลัยเดียวกันในต่างที่ ก็รู้สึกได้ทันทีว่าเป็น "พวกเดียวกัน" ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเครื่องแบบมีพลังในการทำลายความเป็นปัจเจกบุคคล และสวมทับด้วยอัตลักษณ์ของกลุ่มหรือองค์กรได้อย่างแนบเนียน
การสร้างศัตรูร่วมกัน วิธีนี้เป็นเสมือนตัวเร่งปฏิกิริยาชั้นดีที่ทำให้คนในชาติรู้สึกรักและสามัคคีกันอย่างรวดเร็วและเหนียวแน่น อาจารย์เปรียบเทียบว่าเมื่อคนในห้องเรียนเกลียดคนคนเดียวกัน ทุกคนก็จะรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อต่อต้านคนนั้น ในทำนองเดียวกัน รัฐจะสร้างเรื่องราวของ "ผู้ที่เคยทำร้ายชาติ" หรือ "ศัตรูร่วม" ขึ้นมา เพื่อปลุกปั่นให้ประชาชนรู้สึกเจ็บแค้นและหวงแหนชาติของตนเอง ซึ่งเราจะเห็นได้จากประวัติศาสตร์ของแทบทุกชาติที่มีการกล่าวถึงผู้รุกรานในอดีต
ผศ.สิทธารถ ได้ให้รายละเอียดที่น่าสนใจเกี่ยวกับพัฒนาการของเครื่องแบบในประเทศไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของรัฐและสังคม
เครื่องแบบราชปะแตน (รัชกาลที่ 5) โดยในช่วงต้น เครื่องแบบราชการพลเรือนได้รับอิทธิพลจากตะวันตก แต่ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนทำให้ไม่สะดวกสบาย รัชกาลที่ 5 จึงทรงมีพระราชดำริให้ออกแบบเสื้อแบบใหม่ที่ผสมผสานความเป็นไทยกับตะวันตกเข้าด้วยกัน กลายเป็น เสื้อคอตั้งกระดุม 5 เม็ด ที่ดูสุภาพและสวมใส่สบาย ซึ่งต่อมาได้รับการขนานนามว่า "ราชปะแตน" เครื่องแบบนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของรัฐในการสร้างอัตลักษณ์ที่ทันสมัยแต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ของตนเองไว้
เครื่องแบบทหาร ได้มีการพัฒนาการของเครื่องแบบทหารให้เป็นไปตามหลักนิยมทางทหารของตะวันตก จากเดิมที่เครื่องแบบทหารมีสีสันสดใสเพื่อให้แยกแยะฝ่ายได้ง่ายในควันปืน แต่เมื่อยุทธวิธีเปลี่ยนไปสู่การรบแบบซ่อนเร้นในภูมิประเทศ เครื่องแบบจึงถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นสีที่ใช้ในการพรางตัว เช่น สีเทา (ตามแบบเยอรมัน) หรือสีน้ำตาล (ตามแบบอังกฤษ) ในช่วงปลายรัชกาลที่ 7 เครื่องแบบทหารไทยก็เริ่มมีการใช้สี "กากีแกมเขียว" เพื่อให้กลมกลืนกับสภาพภูมิประเทศของไทยมากขึ้น
ผศ.สิทธารถ อธิบายว่า แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ.2475 แต่เครื่องแบบก็ไม่ได้ถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยยังคงใช้รูปแบบเดิมอยู่ แต่มีการปรับรายละเอียดเล็กน้อย เช่น การเปลี่ยนจำนวนกระดุมและเครื่องหมายยศให้เป็นไปตามหลักสากล ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเครื่องแบบในยุคนั้นไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ทางการเมืองที่ถูกช่วงชิง แต่ยังคงเป็นเครื่องมือในการสร้างความเป็นระเบียบและอัตลักษณ์ของรัฐอย่างต่อเนื่อง
ในตอนท้ายของบทสัมภาษณ์ อาจารย์ได้ทิ้งท้ายด้วยประเด็นที่ชวนให้ฉุกคิดอย่างลึกซึ้งว่า แม้การมีสำนึกในความเป็นชาติจะเป็นสิ่งจำเป็นในการรวมผู้คนให้เป็นหนึ่งเดียว แต่สิ่งนี้ก็สามารถกลายเป็นดาบสองคมได้ หากเราให้คุณค่าของ "ชาติ" เหนือกว่าคุณค่าของ "ความเป็นมนุษย์"
ผศ.สิทธารถ ชี้ให้เห็นว่าเมื่อแต่ละชาติยึดถือผลประโยชน์ของตนเป็นใหญ่และมองข้ามคุณค่าของชาติอื่น ความขัดแย้งและสงครามจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และนั่นคือสิ่งที่โลกต้องเผชิญมาตลอดประวัติศาสตร์ ดังนั้น การเรียนรู้จากอดีตและพยายามก้าวข้ามกรอบความคิดที่ว่า "ชาติเราเหนือกว่าชาติอื่น" จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง แม้จะเป็นเรื่องที่ทำได้ยากและอาจต้องใช้เวลานานนับหลายชั่วอายุคน แต่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่เริ่มจากตัวเราเองด้วยการพยายามเป็น "มนุษย์" ให้มากขึ้นกว่าการเป็น "นักชาตินิยม" ก็อาจเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการสร้างสังคมที่เคารพในคุณค่าของกันและกันได้ในที่สุด