svasdssvasds

กยท.ส่งเสริมโครงการคาร์บอนเครดิต ชาวสวนยางฯ หนุนสร้างรายได้เพิ่ม ลดก๊าซเรือนกระจก

กยท.ส่งเสริมโครงการคาร์บอนเครดิต ชาวสวนยางฯ หนุนสร้างรายได้เพิ่ม ลดก๊าซเรือนกระจก

การยางแห่งประเทศไทย เดินหน้าส่งเสริมโครงการคาร์บอนเครดิต ชาวสวนยางฯ หนุนสร้างรายได้เพิ่ม ลดก๊าซเรือนกระจก

โลกร้อน โลกรวน คือปัญหาที่ทั่วโลกกำลังเร่งช่วยกันแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน รวมถึงประเทศไทยก็เช่นกัน หนึ่งในโครงการที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบ้านเราคือ โครงการคาร์บอนเครดิต คือ หนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยประเทศไทยมีการดำเนินงานผ่านหลายกลไกทั้งในระดับภาครัฐและเอกชน เช่น โครงการภายใต้ระบบ TCOP (Thailand Voluntary Emission Reduction Program – T-VER) จัดทำโดย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก.

นอกจากนี้ยังมีโครงการที่ร่วมกลไกระหว่างประเทศ,โครงการจากภาคเอกชนและชุมชน และตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจของไทย เป็นต้น สำหรับประเทศไทยได้มีการพูดเรื่องของโครงการคาร์บอนเครดิตสวนยางพารา กันมากขึ้นเนื่องจากโครงการคาร์บอนเครดิตสวนยางพารา เป็นหนึ่งในแนวทางที่ประเทศไทยใช้เพื่อส่งเสริมการดูดซับก๊าซเรือนกระจกจากภาคการเกษตร โดยเฉพาะจาก “ต้นยางพารา” ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ได้ดี และสามารถนำมาคิดเป็น “คาร์บอนเครดิต” ที่มีมูลค่าในตลาดได้

วันนี้จะพามาดูพันธกิจของการยางแห่งประเทศไทย ที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนเรื่องคาร์บอนเครดิตสวนยางพารา #SPRiNG สัมภาษณ์พิเศษ ‘นายจิรวิทย์ มีชูภัณฑ์’ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาการผลิต การยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บทบาทของการยางแห่งประเทศไทยในเรื่องคาร์บอนเครดิต คือการขับเคลื่อนให้ “สวนยางพารา” ของประเทศไทยก้าวสู่การเป็นพื้นที่กักเก็บคาร์บอนที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน T-VER และสามารถนำไปสู่การสร้างรายได้ใหม่ให้กับเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรมทั้งนี้ได้มองว่าคาร์บอนเครดิตไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือ “เศรษฐกิจใหม่ของเกษตรกร” และเป็นโอกาสที่ภาคเกษตรสามารถเข้าสู่ตลาดโลกผ่านกลไกด้านความยั่งยืนได้จริง

กยท.ส่งเสริมโครงการคาร์บอนเครดิต ชาวสวนยางฯ หนุนสร้างรายได้เพิ่ม ลดก๊าซเรือนกระจก
 

ทั้งนี้ที่ผ่านมาในปี 2566 กยท. ได้ดำเนิน “โครงการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต” กับพื้นที่สวนยางพารา พื้นที่นำร่องกว่า 40,000 ไร่ ซึ่งเป็นการนำร่องภายใต้มาตราฐาน T-VER ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) โดยจากการคำนวณแล้ว พบว่า โครงการดังกล่าวสามารถสร้างคาร์บอนเครดิตได้ประมาณ 1.3 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) ในระยะเวลา 7 ปี คิดเป็นการดูดซับก๊าซเรือนกระจกกว่า 185,000 ตัน CO₂e /ปี โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมจะสามารถขายคาร์บอนเครดิตให้กับหน่วยงานที่ต้องการชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นอกจากนี้ยังได้สร้างเครือข่ายการอบรม ถ่ายทอดความรู้ และให้คำปรึกษาในกว่า 20 จังหวัด เพื่อให้เกษตรกรมีความเข้าใจ

โดยแผนการดำเนินงานที่ผ่านมานับได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก และในปี 2568 กยท. ได้ตั้งเป้าขยายพื้นที่สวนยางเข้าสู่โครงการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตเป็นพื้นที่ 105,000 ไร่ ทั่วประเทศ โดยมีการจัดทำแผน เพื่อขึ้นทะเบียนให้เข้าสู่มาตราฐาน T-VER อย่างเป็นทางการ อักทั้งยังได้มีการจัดตั้ง “ทีมให้คำปรึกษาเชิงพื้นที่” ที่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ กยท. ในระดับจังหวัด ร่วมกับนักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญภายนอก เพื่อให้คำแนะนำแก่เกษตรกรตั้งแต่การประเมินศักยภาพพื้นที่ การจัดทำแผนการจัดการสวนยาง การขึ้นทะเบียน และการติดตามผล ในขณะเดียวกัน กยท. ยังอยู่ระหว่างพัฒนาแพลตฟอร์มกลาง (e-System) เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดตามสถานะโครงการ และให้เกษตรกรตรวจสอบรายได้ของตนเองแบบโปร่งใส

กยท.ส่งเสริมโครงการคาร์บอนเครดิต ชาวสวนยางฯ หนุนสร้างรายได้เพิ่ม ลดก๊าซเรือนกระจก

สำหรับเป้าหมายของ กยท. มีเป้าหมายใหญ่ 3 ระยะ ดังนี้

1. ระยะสั้น (ภายในปี 2570): ขยายพื้นที่บริหารจัดการคาร์บอนเครดิตเป็น 1 ล้านไร่ ของพื้นที่ที่ขึ้นทะเบียนกับ กยท.

2. ระยะกลาง (ภายในปี 2573): ขยายพื้นที่เป็น 10 ล้านไร่ ของพื้นที่ที่ขึ้นทะเบียนกับ กยท.

3. ระยะยาว (ภายในปี 2593): ครอบคลุม พื้นที่ที่ขึ้นทะเบียนกับ กยท. และทำให้ยางพาราไทยเข้าสู่ระบบ Carbon Neutrality อย่างไรก็ตามเป้าหมายนี้ไม่ได้ทำเพื่อเกษตรกรอย่างเดียว แต่ทำให้ประเทศไทยสามารถใช้ภาคเกษตรเป็นกลไกในการเข้าสู่ตลาดโลกอย่างยั่งยืน

ในส่วนของเกษตรกรที่ยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการก็สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ไม่ยาก แค่เกษตรกรมีสวนยางที่ขึ้นทะเบียนกับ กยท. และพร้อมจะบริหารจัดการพื้นที่ตามแนวทางที่ กยท.แนะนำ เช่น ไม่เผาพื้นที่ รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ จัดเก็บข้อมูลการดูแลสวน เช่น การใช้ปุ๋ย หรือการปลูกพืชแซม ซึ่งจะมีทีมให้คำปรึกษาตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง และเมื่อสามารถออกคาร์บอนเครดิตได้ ก็จะมีระบบขายให้ภาคเอกชนหรือองค์กรที่ต้องการชดเชยคาร์บอน ซึ่งเกษตรกรจะได้รับรายได้ตามสัดส่วน

อย่างไรก็ตาม กยท. ทีมสนับสนุนจริงในพื้นที่ ทั้งระดับจังหวัดและภูมิภาค ทำงานร่วมกับหน่วยงานหลัก ได้แก่ อบก., ธ.ก.ส., ส.ป.ก. พร้อมสร้างระบบติดตามแบบโปร่งใสเชื่อมโยงตลาด หาผู้ซื้อคาร์บอนเครดิตให้เกษตรกรโดยตรง

สุดท้าย ผู้อำนวยการฯ ฝากบอกว่า คาร์บอนเครดิตไม่ใช่เรื่องของคนเมือง หรือบริษัทใหญ่ๆเท่านั้น แต่เป็นโอกาสใหม่ของ “พี่น้องเกษตรกรสวนยาง” ที่จะใช้ต้นยางและผืนดินที่เราดูแลอยู่แล้ว มาเปลี่ยนเป็นรายได้เสริมที่ยั่งยืน และเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลโลกใบนี้ไปพร้อมกัน กยท. พร้อมเป็นพี่เลี้ยง ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันที่เกษตรกรได้รับรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตจริง

 

related