svasdssvasds

“ชุมพร” จากยุคประชาธิปัตย์ครองเมือง สู่วัน จุลใส ซบอก นายกฯ หนู

“ชุมพร” จากยุคประชาธิปัตย์ครองเมือง สู่วัน จุลใส ซบอก นายกฯ หนู

ประวัติศาสตร์การเมือง ชุมพร จากยุคประชาธิปัตย์ สู่ "บ้านใหญ่จุลใส" นำโดย "ลูกหมี-ลูกช้าง" ย้ายซบภูมิใจไทย ในวันที่การเมืองไทยไม่เหมือนเดิม

SHORT CUT

  • การเมืองในจังหวัดชุมพรเป็นสมรภูมิที่น่าสนใจ มีการต่อสู้สลับฉากผลัดเปลี่ยนอำนาจตามกาลเวลาและสถานการณ์
  • ตระกูลจุลใสได้ก่อร่างสร้างตัวจนเป็น "บ้านใหญ่" ที่มีอิทธิพลอย่างสูงในการเมืองของจังหวัดชุมพร โดยเริ่มต้นจากบุญธรรม จุลใส (ผู้ใหญ่เหม็ง)
  • ล่าสุด เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 นายชุมพล จุลใส (ลูกหมี) และทีมการเมืองจากชุมพร รวมถึง นายสุพล จุลใส (สส. ชุมพร) และ นายนพพร อุสิทธิ์ (นายก อบจ.ชุมพร) ได้เข้าร่วมสังกัดพรรคภูมิใจไทยอย่างเป็นทางการ

ประวัติศาสตร์การเมือง ชุมพร จากยุคประชาธิปัตย์ สู่ "บ้านใหญ่จุลใส" นำโดย "ลูกหมี-ลูกช้าง" ย้ายซบภูมิใจไทย ในวันที่การเมืองไทยไม่เหมือนเดิม

หากการเมืองคือการต่อสู้ ชุมพรก็คงเป็นสมรภูมิที่น่าสนใจไม่แพ้ใคร สนามเลือกตั้งแห่งนี้ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องของพรรคการเมือง แต่เป็นเรื่องราวของตระกูล ผู้คน และกระแสที่ไหลมาบรรจบกัน ก่อนที่พรรคประชาธิปัตย์จะเข้ามาครองความยิ่งใหญ่ยาวนานหลายทศวรรษ ชุมพรเคยมี สส. ในตำนาน อย่า ประมวล กุลมาตย์ สส. 5 สมัยผู้เป็นดั่งเสาหลักทางการเมืองของจังหวัดในช่วงที่ยังไม่มีใครเป็นเจ้าของพื้นที่อย่างเบ็ดเสร็จ การต่อสู้ของพรรคและตระกูลการเมืองสลับฉากผลัดเปลี่ยนอำนาจกันไปตามกาลเวลาและสถานการณ์ พลวัตเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการเมืองไทยที่ไม่เคยหยุดนิ่ง โดยเฉพาะเมื่ออำนาจเก่าสั่นคลอนและบ้านใหญ่ต้องหาบ้านใหม่เพื่อความอยู่รอดทางการเมือง

“ชุมพร” จากยุคประชาธิปัตย์ครองเมือง สู่วัน จุลใส ซบอก นายกฯ หนู

ประมวล กุลมาตย์ สส. 5 สมัยก่อนยุคประชาธิปัตย์ครองชุมพร

ประมวล กุลมาตย์ (พ.ศ. 2458 – พ.ศ. 2527) เป็นนักการเมืองคนสำคัญของไทย ดำรงตำแหน่งอดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง, อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์, และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพรถึง 5 สมัย ท่านเป็นที่รู้จักในฐานะผู้มีบทบาทสำคัญในการเสนอร่างพระราชบัญญัติเพื่อก่อตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหง

 

ประมวล กุลมาตย์ เกิดเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2458 ที่เมืองหลังสวน มณฑลชุมพร ประเทศสยาม ท่านเป็นบุตรของนายวิวัฒน์และนางขาว กุลมาตย์ ในด้านครอบครัว ท่านสมรสกับนางศรีรัตน์ ไชยาคำ และมีบุตร-ธิดารวม 3 คน

ประมวล กุลมาตย์ สำเร็จการศึกษาระดับอนุปริญญา สาขานิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ก่อนเข้าสู่เส้นทางการเมือง ท่านได้ประกอบอาชีพรับราชการครูที่โรงเรียนสวนศรีวิทยาและโรงเรียนศรียาภัย หลังจากนั้น ได้ลาออกมาเปิดกิจการโรงเรียนของตนเองในชื่อ "โรงเรียนประมวลวิทยา" ต่อมา ท่านกลับเข้ารับราชการในตำแหน่งปลัดอำเภอ สังกัดกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย โดยเคยดำรงตำแหน่งในหลายอำเภอ อาทิ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา และอำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนที่จะได้ดำรงตำแหน่งนายอำเภอในหลายพื้นที่

เส้นทางการเมืองของประมวล กุลมาตย์ เริ่มต้นขึ้นเมื่อท่านได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในเดือนมกราคม พ.ศ. 2489 และได้รับเลือกเรื่อยมาจนถึง พ.ศ. 2522 รวมทั้งสิ้น 5 สมัย ท่านเป็นผู้แทนราษฎรจากจังหวัดชุมพร และเคยสังกัดพรรคการเมืองต่างๆ เช่น พรรคสหประชาไทย และพรรคธรรมสังคม รวมถึงการลงสมัครในฐานะผู้สมัครอิสระ

คุณูปการที่สำคัญอย่างยิ่งของประมวล กุลมาตย์ คือการเป็น ผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติเพื่อก่อตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหง เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2512 ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการก่อตั้งมหาวิทยาลัยเปิดแห่งนี้

ในปี พ.ศ. 2516 ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และในเวลาต่อมาได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ในสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 11 โดยดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 ถึง 12 มกราคม พ.ศ. 2519 นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2522 ท่านยังได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลของพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ โดยดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2522 ถึง 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523

ในช่วงปลายชีวิตทางการเมือง ในปี พ.ศ. 2526 ประมวล กุลมาตย์ ได้ร่วมก่อตั้งพรรคสยามประชาธิปไตย และดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค

ประมวล กุลมาตย์ ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2527 ณ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กรุงเทพมหานคร สิริอายุ 69 ปี

2538-2554 ยุคประชาธิปัตย์ครองเมือง

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ถือเป็นหัวใจสำคัญของการเมืองระดับประเทศ ที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการเลือกตัวแทนเข้าไปทำหน้าที่ในสภา จังหวัดชุมพรเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีประวัติศาสตร์ทางการเมืองอันยาวนาน ในช่วงปี พ.ศ. 2535 ถึง 2562 ซึ่งเป็นยุคที่มีข้อสังเกตเกี่ยวกับการครองความได้เปรียบของพรรคการเมืองพรรคหนึ่งโดยเฉพาะ

จังหวัดชุมพรมีเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา เช่น ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2566 จังหวัดชุมพรมี 3 เขตเลือกตั้ง และมี สส. แบบแบ่งเขตได้ 3 คน จากทั้งหมด 400 คนทั่วประเทศ และมีนักการเมืองหลายท่านที่สร้างชื่อเสียงและได้รับเลือกตั้งหลายสมัย เช่น นายสุชาติ แก้วนาโพธิ์ และนายศิริศักดิ์ อ่อนละมัย ที่ได้รับเลือกตั้งมากที่สุดถึง 6 สมัย ตระกูลการเมืองที่มีบทบาทโดดเด่นในจังหวัดชุมพรคือ ตระกูลอ่อนละมัย (นายศิริศักดิ์ อ่อนละมัย และนายสราวุธ อ่อนละมัย) และตระกูลจุลใส (นายชุมพล จุลใส และนายสุพล จุลใส) ซึ่งมีผู้ได้รับเลือกตั้งตระกูลละ 2 คน

“ชุมพร” จากยุคประชาธิปัตย์ครองเมือง สู่วัน จุลใส ซบอก นายกฯ หนู

ช่วง พ.ศ. 2535-2539 (ชุดที่ 17–20)

ในช่วงเวลานี้ การเลือกตั้ง สส. ในจังหวัดชุมพรมี 3 คน โดยมีการเลือกตั้งทั่วไป 4 ครั้ง ได้แก่ มีนาคม พ.ศ. 2535, กันยายน พ.ศ. 2535, พ.ศ. 2538 และ พ.ศ. 2539 ในช่วงนี้ พรรคประชาธิปัตย์ และ พรรคความหวังใหม่ เป็นพรรคการเมืองที่มีบทบาทในการเลือกตั้ง รายนาม สส. ในช่วงนี้ประกอบด้วย นายศิริศักดิ์ อ่อนละมัย, นายสุชาติ แก้วนาโพธิ์, นายวีรเทพ สุวรรณสว่าง และนายสุวโรช พะลัง 

แต่ในช่วงปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมาจนถึง พ.ศ. 2550 ผลการเลือกตั้งในช่วงนี้แสดงให้เห็นถึง ความโดดเด่นของพรรคประชาธิปัตย์อย่างชัดเจน

ชุดที่ 21 พ.ศ. 2544: ผู้ได้รับเลือกตั้งเป็น สส. ทั้ง 3 คน คือ นายศิริศักดิ์ อ่อนละมัย (เขต 1), นายสุชาติ แก้วนาโพธิ์ (เขต 2) และ นายสุวโรช พะลัง (เขต 3) ซึ่งทั้งหมดเป็นสมาชิก พรรคประชาธิปัตย์

ชุดที่ 22 พ.ศ. 2548: ผู้ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ทั้ง 3 คน คือ นายศิริศักดิ์ อ่อนละมัย (เขต 1), นายสุวโรช พะลัง (เขต 2) และ นายธีระชาติ ปางวิรุฬห์รักษ์ (เขต 3) ซึ่งทั้งหมดเป็นสมาชิก พรรคประชาธิปัตย์

ชุดที่ 23 พ.ศ. 2550: ผู้ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ทั้ง 3 คน คือ นายชุมพล จุลใส, นายสราวุธ อ่อนละมัย และ นายธีระชาติ ปางวิรุฬห์รักษ์ (ทั้งหมดเป็น ส.ส. เขต 1) ซึ่งทั้งหมดเป็นสมาชิก พรรคประชาธิปัตย์

ช่วง พ.ศ. 2554-2562 (ชุดที่ 24–25)

ในช่วงนี้ การเลือกตั้ง สส. มี 3 เขตเลือกตั้ง โดยมี สส. เขตละ 1 คน ผลการเลือกตั้งยังคงชี้ให้เห็นถึง การครองพื้นที่ของพรรคประชาธิปัตย์

ชุดที่ 24 พ.ศ. 2554: ผู้ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ทั้ง 3 คน คือ นายชุมพล จุลใส (เขต 1), นายสราวุธ อ่อนละมัย (เขต 2) และ นายธีระชาติ ปางวิรุฬรักษ์ (เขต 3) ซึ่งทั้งหมดเป็นสมาชิก พรรคประชาธิปัตย์

“ชุมพร” จากยุคประชาธิปัตย์ครองเมือง สู่วัน จุลใส ซบอก นายกฯ หนู

บ้านใหญ่จุลใส จากผู้ใหญ่เม้ง ถึงยุค ลูกหมี ลูกช้าง

ตระกูลจุลใสแห่งตำบลนาสัก อำเภอสวี จังหวัดชุมพร ได้ก่อร่างสร้างตัวจนเป็น "บ้านใหญ่" ที่มีอิทธิพลอย่างสูงในสนามการเมืองของจังหวัดชุมพร เครือข่ายของตระกูลนี้ได้ขยายตัวครอบคลุมตั้งแต่ระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับชาติ 

รากฐานทางการเมืองของตระกูลจุลใสเริ่มต้นจาก บุญธรรม จุลใส หรือที่รู้จักกันในนาม ผู้ใหญ่เหม็ง ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านนาสัก ผู้ใหญ่เหม็งมีความสัมพันธ์อันดีกับ จัตุรนต์ คชสีห์ อดีต สส.ชุมพร และได้ร่วมกันทำงานทางการเมือง โดยผู้ใหญ่เหม็งได้รับเลือกเป็น ส.จ.เขต อ.สวี และ อ.ทุ่งตะโกในปี 2528 ก่อนจะช่วยจัตุรนต์หาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.ในปี 2529 และ 2531

ผู้ใหญ่เหม็งได้ผลักดันบุตรชายทั้งสองคือ สุพล จุลใส (ลูกช้าง) และ ชุมพล จุลใส (ลูกหมี) เข้าสู่เส้นทางการเมือง

ชุมพล จุลใส (ลูกหมี) เริ่มต้นจากการเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ชุมพรในปี 2546 และได้รับตำแหน่งประธานสภา อบจ.ชุมพรในปีถัดมา ในการเลือกตั้ง สส.ปี 2550 ชุมพลได้ลงสมัครและได้รับชัยชนะเป็นอันดับ 1 ด้วยคะแนน 209,982 คะแนน ซึ่งสูงกว่า ศิริศักดิ์ อ่อนละมัย สส.รุ่นพี่จากพรรคประชาธิปัตย์ โดยได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจาก สุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งในขณะนั้นเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ 

ชัยชนะของลูกหมีมาจากทั้งกระแสพรรคและแรงหนุนจาก กองหนุนจุลใสแฟมิลี่ ภายใต้การนำของ สุพล จุลใส ผู้เป็นพี่ชาย

สุพล จุลใส (ลูกช้าง) เริ่มต้นอาชีพทางการเมืองด้วยการเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) นาสักในปี 2553 จากนั้นในปี 2555 เขาก็ได้รับการสนับสนุนจากน้องชาย ชุมพล จุลใส ให้ลงชิงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ชุมพร และสามารถโค่นคู่แข่งอย่าง ศิริศักดิ์ อ่อนละมัย อดีต สส.ชุมพร 8 สมัย ลงได้สำเร็จ 

“ชุมพร” จากยุคประชาธิปัตย์ครองเมือง สู่วัน จุลใส ซบอก นายกฯ หนู

ในปี 2562 สุพลได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เป็นครั้งแรกในเขต 3 โดยสังกัดพรรครวมพลังประชาชาติไทย เขาสามารถเอาชนะ ธีระชาติ ปางวิรุฬห์รักษ์ อดีต สส. 3 สมัยจากพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นผู้สมัครเพียงคนเดียวของพรรคที่ได้รับการเลือกตั้งในระบบแบ่งเขตครั้งนั้น

 แม้จะสังกัดพรรคต่างกัน สส.ลูกช้างและลูกหมีก็ยังคงดำเนินกิจกรรมทางการเมืองร่วมกัน ประหนึ่งว่าอยู่พรรคเดียวกัน ล่าสุดในการเลือกตั้งปี 2566 สุพล จุลใส ได้รับเลือกเป็น ส.ส.ชุมพร เขต 3 อีกครั้งในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งพรรคนี้สามารถกวาดที่นั่ง ส.ส.ชุมพรได้ทั้ง 3 เขต

จุลใสแฟมิลี่ เป็นเครือข่ายที่แข็งแกร่งและกว้างขวางในชุมพร อิทธิพลของตระกูลนี้ได้ขยายไปสู่ตำแหน่งสำคัญต่างๆ นอกจากสองพี่น้องแกนนำ สุพลและชุมพลแล้ว เครือข่ายยังรวมถึง นพพร อุสิทธิ์ (นายกโต้ง) นายก อบจ.ชุมพรคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นสามีของ สุจิตรา อุสิทธิ์ น้องสาวของสุพลและพี่สาวของชุมพล นพพรเริ่มต้นจากการเป็น ส.อบจ.ในปี 2547 โดยการสนับสนุนของชุมพล และได้เป็นประธานสภา อบจ. 

เขาได้รับเลือกเป็นนายก อบจ.ชุมพร ในนาม ทีมพลังชุมพร เมื่อปลายปี 2563 และเมื่อปี 2567 ได้รับเลือกเป็นนายก อบจ.ชุมพรอีกสมัยโดยไม่มีคู่แข่ง และได้รับคะแนนรวมถึง 156,806 คะแนน ซึ่งเกินเกณฑ์ร้อยละ 10 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้ สุจิตรา อุสิทธิ์ (เปี้ยว) น้องสาวของสุพลและพี่สาวของชุมพล ก็ได้รับเลือกเป็นนายก อบต.นาสักสมัยที่ 2 ในปี 2564

ตระกูลจุลใสได้สร้างเครือข่ายท้องถิ่นที่แข็งแกร่ง โดยมีการส่งทีมผู้สมัครนายก อบต.ทั่วชุมพร ภายใต้ชื่อ "ทีมพลัง..." เช่น "ทีมพลังนาสัก" ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงบารมีที่แผ่ขยายไปทั่วทั้งจังหวัด

ในช่วงต้นปี 2567 ตระกูลจุลใสได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างพันธมิตรทางการเมือง โดยมีการ "บ้านใหญ่สมานฉันท์" กับ ตระกูลมากอำไพ แม้จะเคยเป็นคู่แข่งกันมาก่อน การปรองดองครั้งนี้มี นายกเทศมนตรีเมืองชุมพร ศรีชัย วีระนรพานิช (นายกใช้) เป็นผู้ประสานงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อการันตีชัยชนะในการเลือกตั้งนายก อบจ.ชุมพร และนายกเทศมนตรีเมืองชุมพร

ตระกูลจุลใสได้แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับพลวัตทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากกติกาการเลือกตั้ง สส.แบบบัตร 2 ใบ ซึ่งอาจไม่เอื้อต่อพรรคขนาดเล็กอย่างรวมพลังประชาชาติไทย และจากกรณีที่ ชุมพล จุลใส (ลูกหมี) ถูกศาลพิพากษาจำคุกและตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี จากคดี กปปส. ทำให้ สุพล จุลใส (ลูกช้าง) ซึ่งเป็นแม่ทัพหลักของตระกูล ตัดสินใจเคลื่อนย้ายไพร่พลมาอยู่ใต้ชายคา บ้านป่ารอยต่อฯ ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประวิตรเองก็เคยแสดงความประสงค์ที่จะดึงชุมพล จุลใส มาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ

“ชุมพร” จากยุคประชาธิปัตย์ครองเมือง สู่วัน จุลใส ซบอก นายกฯ หนู

จุลใสแฟมิลี่ได้สร้างอาณาจักรทางการเมืองที่แข็งแกร่งและครอบคลุมในจังหวัดชุมพร ด้วยเครือข่ายครอบครัวที่กว้างขวางและพันธมิตรที่สำคัญ ตั้งแต่การเมืองระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับชาติ แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคดีความ การปรับเปลี่ยนกติกาทางการเมือง หรือการต่อต้านโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่ แต่ตระกูลจุลใสยังคงเป็น "บ้านใหญ่" ที่มีอิทธิพลและบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการเมืองของจังหวัดชุมพรอย่างต่อเนื่อง

ลูกช้าง ลูกหมี ภายใต้อ้อมอกภูมิใจไทย

 ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 วงการการเมืองไทยได้เกิดความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ เมื่อ นายชุมพล จุลใส หรือ "ลูกหมี" อดีต สส. ชุมพร และแกนนำการเมืองภาคใต้ ได้นำทีมการเมืองจังหวัดชุมพรเข้าร่วมสังกัดพรรคภูมิใจไทย (ภท.) อย่างเป็นทางการ การย้ายพรรคครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสข่าวความขัดแย้งภายในพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ซึ่งนายชุมพลได้ยอมรับว่าพรรค รทสช. มีความร้าวฉานและ "ไปต่อยาก" จริง

นายชุมพล จุลใส ได้กล่าวถึงสถานการณ์ภายในพรรครวมไทยสร้างชาติว่า ไม่ได้เป็นการแตกแยก แต่เป็น "ความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน" อย่างไรก็ตาม เขาได้ยอมรับว่าจากที่สัมผัสมา แนวคิดภายในพรรค "ไปต่อกันไม่ได้จริงๆ" สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งของความขัดแย้งนี้คือ "การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี" โดยนายชุมพลเปิดเผยว่ามีความเห็นไม่ตรงกันในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี โดยที่สมาชิกพรรคส่วนหนึ่งต้องการเลือก นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งต้องการงดออกเสียง ทำให้ต้องมีการตัดสินใจทางการเมืองว่าจะเลือกข้างใดข้างหนึ่ง นายชุมพลยังระบุอีกว่าไม่มีความขัดแย้งอื่นใดนอกจากประเด็นนี้

“ชุมพร” จากยุคประชาธิปัตย์ครองเมือง สู่วัน จุลใส ซบอก นายกฯ หนู

เมื่อถูกถามถึงกระแสข่าวที่นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ อาจลาออกและไม่ไปต่อกับพรรค นายชุมพลรับทราบข่าวจากสื่อเช่นกัน และได้เปิดเผยว่าได้พูดคุยกับนายเอกนัฏ ซึ่งนายเอกนัฏเองก็ยอมรับว่า "ไปต่อกันยาก" เช่นกัน แต่ยืนยันว่าไม่มีเรื่องขัดแย้งกัน นายชุมพลยังระบุว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งภายในพรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว เนื่องจากถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองไปก่อนหน้านี้

ทีมการเมืองจากจังหวัดชุมพรที่ย้ายมาร่วมพรรคภูมิใจไทยประกอบด้วยบุคคลสำคัญหลายท่าน ได้แก่ นายชุมพล จุลใส หรือ “ลูกหมี”, นายวิชัย สุดสวาสดิ์ และ นายสุพล จุลใส สส. ชุมพร จากพรรครวมไทยสร้างชาติ, นายนพพร อุสิทธิ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ชุมพร หรือ “นายกโต้ง” พร้อมด้วยทีมพลังชุมพร รวม 27 คน และทีมสนับสนุนรวมกว่า 50 ชีวิต

นายชุมพล จุลใส ได้กล่าวถึงการตัดสินใจครั้งนี้ว่าเกิดจาก "ความมั่นใจในศักยภาพของพรรคภูมิใจไทยที่จะนำพาประเทศก้าวไปข้างหน้า" และย้ำว่าไม่ใช่การแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว แต่เป็นการทำเพื่อบ้านเมือง

ทางด้านพรรคภูมิใจไทย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ แกนนำพรรค ได้ให้การต้อนรับทีมชุมพรอย่างอบอุ่น พร้อมมอบเสื้อพรรค นายศุภชัย ใจสมุทร รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่าถือเป็นเกียรติที่ชาวชุมพรเข้ามาเสริมทัพ และยืนยันว่าพรรคพร้อมร่วมพัฒนาภาคใต้ให้เติบโตแข็งแกร่งภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี

“ชุมพร” จากยุคประชาธิปัตย์ครองเมือง สู่วัน จุลใส ซบอก นายกฯ หนู

การเข้าร่วมของทีมชุมพรถูกมองว่าจะเป็น "กำลังสำคัญ" ในการผลักดันโครงการเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของรัฐบาลในภาคใต้ โดยเฉพาะโครงการ "แลนด์บริดจ์" เชื่อมอ่าวไทย-อันดามัน มูลค่าไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าจะสร้างงานและรายได้จำนวนมากในพื้นที่ระนองและชุมพร รวมถึงทั้งภาคใต้

นายพิพัฒน์ยังได้เปิดเผยถึงแผนการขยายฐานเสียงใน 14 จังหวัดภาคใต้ โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวน ส.ส. ในพื้นที่ และมีการพูดคุยกับหลายพื้นที่แล้ว ทั้งสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และสงขลา โดยมั่นใจว่าผลงานที่พรรคพิสูจน์แล้วว่า "พูดแล้วทำ" จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน

ก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในช่วงค่ำของวันที่ 16 กันยายน นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมรับประทานอาหารค่ำกับนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ และแกนนำทีมชุมพร ที่ร้านอาหารย่านพระราม 6 โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น และมีการชูมินิฮาร์ทร่วมกัน ก่อนที่ทีมชุมพรจะเปิดตัวสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยในเช้าวันถัดมา

“ชุมพร” จากยุคประชาธิปัตย์ครองเมือง สู่วัน จุลใส ซบอก นายกฯ หนู

ประวัติศาสตร์การเมืองชุมพรในยุคหลังคือการเดินทางที่สะท้อนให้เห็นถึง การปรับตัวเพื่อความอยู่รอด อย่างแท้จริง จากยุคทองของพรรคประชาธิปัตย์ที่ยึดครองพื้นที่มาอย่างยาวนาน สู่การผงาดขึ้นของ บ้านใหญ่จุลใส ซึ่งก่อร่างสร้างตัวจากรากฐานท้องถิ่นสู่การเมืองระดับชาติ การเมืองในชุมพรจึงไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยพรรคเพียงอย่างเดียว แต่ยังถูกกำหนดด้วยเครือข่ายความสัมพันธ์ส่วนตัวและฐานคะแนนเสียงที่เข้มแข็งของตระกูลการเมือง ยิ่งในยุคปัจจุบันที่บ้านใหญ่แห่งนี้ต้องเผชิญกับคลื่นลมทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงของกติกา การตัดสินใจย้ายพรรคจากรวมไทยสร้างชาติสู่ภูมิใจไทย จึงไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนสังกัด แต่เป็นการเดิมพันครั้งสำคัญเพื่อรักษาสถานะและอำนาจทางการเมืองต่อไป ชุมพรจึงเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าในสมรภูมิการเมืองไทย อำนาจมักจะย้ายไปหาผู้ที่สามารถปรับตัวได้เสมอ ไม่ว่าพรรคจะเปลี่ยนไปแค่ไหน แต่บ้านใหญ่ยังคงเป็นศูนย์กลางที่กำหนดทิศทางการเมืองของจังหวัดอย่างต่อเนื่อง

อ้างอิง

กรุงเทพธุรกิจ1 / กรุงเทพธุรกิจ2 / กรุงเทพธุรกิจ3 / Isra1 / คมชัดลึก1 / คมชัดลึก2 /

related