SHORT CUT
ติเบริอุส นายพลผู้ปราดเปรื่อง แต่เป็น "บุรุษผู้เศร้าโศกที่สุด" เขาถูกพ่อตาผลักดัน สู่การเมืองที่ไม่ได้ต้องการ
เรื่องราวของจักรพรรดิติเบริอุส (Tiberius) เป็นดุจโศกนาฏกรรมที่น่าประทับใจยิ่งกว่านวนิยาย เขาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจในฐานะจักรพรรดิองค์ที่สองแห่งกรุงโรม และยังคงเป็นหนึ่งในบุคคลที่ซับซ้อนและเข้าใจยากที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาเป็นนายพลผู้ปราดเปรื่องซึ่งเป็นที่เคารพรักของทหาร แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นบุรุษผู้หม่นหมองที่นักประวัติศาสตร์คนหนึ่งถึงกับขนานนามว่า "บุรุษผู้เศร้าโศกที่สุด" ความย้อนแย้งนี้คือหัวใจสำคัญของเรื่องราวทั้งหมด ซึ่งสะท้อนชีวิตที่ต้องดำเนินไปตามความต้องการของผู้อื่น ท่ามกลางระบบการเมืองที่เขาไม่เคยเต็มใจจะเข้าสู่
เพื่อทำความเข้าใจบุรุษผู้นี้ เราต้องพิจารณาบริบททางประวัติศาสตร์ของยุค "พริ้นซิปาตุส" (Principate) หรือที่เอากุสตุส (Augustus) เรียกว่า "ราชาธิปไตยภายใต้หน้ากาก" ซึ่งเป็นยุคที่อำนาจสูงสุดอยู่ที่คนเพียงคนเดียว แต่ยังคงรักษาเปลือกนอกของสาธารณรัฐโรมันไว้
ระบบนี้ขึ้นอยู่กับความมั่นคงของครอบครัวผู้ปกครองอย่างมาก และความล้มเหลวในการสืบทอดอำนาจได้กลายเป็นปัญหาหลักของเอากุสตุสในบั้นปลายชีวิต การศึกษาเรื่องราวของติเบริอุสจึงไม่ใช่เพียงการไล่เรียงเหตุการณ์ แต่เป็นการสืบค้นหาความจริงท่ามกลางบันทึกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง เรามีบันทึกของเวลเลอุส ปาแตร์กูลุส (Velleius Paterculus) นักประวัติศาสตร์ร่วมสมัยที่ยกย่องติเบริอุสอย่างมาก ขณะที่นักประวัติศาสตร์รุ่นหลังอย่างตากิตุส (Tacitus) และซุเอโตนิอุส (Suetonius) กลับวาดภาพเขาในแง่ร้ายอย่างยิ่ง ดังนั้น การพิจารณาชีวิตของติเบริอุสจึงต้องอาศัยการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เพื่อแยกแยะข้อเท็จจริงออกจากอคติและข่าวลือ
เรื่องราวของติเบริอุสเริ่มต้นขึ้นอย่างยากลำบากในฐานะเด็กชายผู้ต้องเผชิญกับผลพวงของสงครามกลางเมือง เขาเป็นบุตรชายของลิเวีย ดรูซิลลา (Livia Drusilla) และติเบริอุส เคลอเดียส เนโร (Tiberius Claudius Nero) ผู้เป็นฝ่ายตรงข้ามกับเอากุสตุส และในวัยเพียงสี่ขวบชีวิตเขาก็พลิกผันอย่างสิ้นเชิง เมื่อเอากุสตุสบังคับให้มารดาของเขาหย่ากับบิดาเพื่อมาแต่งงานกับตนเอง
เหตุการณ์นี้ได้กำหนดทิศทางชีวิตของติเบริอุสไปตลอดกาล เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเอากุสตุสและลิเวีย ผู้เป็นมารดาผู้ทรงอิทธิพลและต้องการผลักดันให้บุตรชายของตนก้าวขึ้นสู่อำนาจสูงสุด
แม้จะมีสถานะทางการเมืองที่เปราะบาง แต่ติเบริอุสกลับสร้างชื่อเสียงอันน่าเกรงขามในฐานะนายพลผู้ยิ่งใหญ่ ในวัยเพียง 22 ปี เขาได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจทางการทูตในปาร์เธีย (Parthia) ซึ่งไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จในการเจรจา แต่ยังสามารถนำธงประจำกองทหารโรมันที่สูญเสียไปนานหลายทศวรรษกลับคืนมาได้อีกด้วย
จากนั้นเขาได้นำทัพไปปราบกบฏในแคว้นพันโนเนีย (Pannonia) และเยอรมาเนีย (Germania) เวลเลอุส ปาแตร์กูลุส ผู้เป็นนักประวัติศาสตร์และทหารใต้บังคับบัญชาของติเบริอุส ได้บันทึกไว้ว่า เขาเป็นผู้บัญชาการที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของทหารเป็นอันดับแรก ซึ่งทำให้เขาเป็นที่นิยมและเป็นที่รักของเหล่าทหารหาญ
แต่โชคชะตาเล่นตลกกับชีวิตของบุรุษผู้มีความสามารถคนนี้อย่างโหดร้าย เมื่อเอากุสตุสตัดสินใจใช้เขาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อเป้าหมายของราชวงศ์ ในเวลานั้นติเบริอุสแต่งงานอย่างมีความสุขกับวิปซาเนีย อากริปปินา (Vipsania Agrippina) ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่คู่รักที่สมหวังในยุคนั้น แต่เพื่อสร้างพันธมิตรทางสายเลือด เอากุสตุสได้บังคับให้เขาหย่ากับภรรยาที่รักและกำลังตั้งครรภ์ เพื่อไปแต่งงานกับยูเลีย (Julia) บุตรสาวจอมเจ้าปัญหาของเอากุสตุสเอง
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่เป็นโศกนาฏกรรมส่วนตัว แต่ยังเป็นการละเมิดค่านิยมดั้งเดิมของชาวโรมันอย่างร้ายแรง ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางคนมองว่าเป็นการ “ทำร้ายศีลธรรม” ครั้งใหญ่ ซุเอโตนิอุสบันทึกว่า หลังจากหย่ากัน ติเบริอุสบังเอิญเจอวิปซาเนียในกรุงโรม และเขาก็ถึงกับร่ำไห้สะอื้นจนเอากุสตุสต้องสั่งห้ามไม่ให้ทั้งคู่พบกันอีก เหตุการณ์นี้ได้ทิ้งบาดแผลทางใจให้กับติเบริอุสอย่างลึกซึ้ง และเป็นจุดเริ่มต้นของความหม่นหมองในบุคลิกของเขา
อำนาจสูงสุดของกรุงโรมในยุคพริ้นซิปาตุสไม่ใช่ตำแหน่งที่สืบทอดโดยกฎหมาย แต่เป็นสมบัติส่วนตัวของราชวงศ์ ความจริงนี้สะท้อนชัดเจนในความพยายามอันแสนยาวนานของเอากุสตุสในการหาผู้สืบทอดอำนาจ
ในช่วงแรก ติเบริอุสถูกมองข้ามอย่างสิ้นเชิง เอากุสตุสพยายามผลักดันผู้ที่สืบเชื้อสายทางสายเลือดของตนเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นมาร์เซ็ลลุส (Marcellus) หลานชายของเขา, มาร์กุส อากริปปา (Marcus Agrippa) สหายคนสนิท, และที่สำคัญที่สุดคือสองหลานชายผู้เป็นบุตรของยูเลีย คือ กายอุส (Gaius) และลูซิอุส ซีซาร์ (Lucius Caesar) ซึ่งได้รับเกียรติยศสูงสุดและถูกคาดหวังให้เป็นทายาทตั้งแต่ยังเด็ก
แม้ว่าติเบริอุสจะมีความสามารถโดดเด่นในทุกด้าน แต่เขากลับเป็นเพียง "ตัวสำรอง" หรือ "ทางเลือกสุดท้าย" ในสายตาของเอากุสตุส
การตามหาผู้สืบทอดบัลลังก์ของเอากุสตุสต้องเผชิญกับความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อทายาทที่เขาหมายตาต่างเสียชีวิตก่อนวัยอันควรอย่างน่าพิศวง ไล่มารตั้งแต่การเสียชีวิตของมาร์เซ็ลลุส, อากริปปา, และท้ายที่สุดคือกายอุสและลูซิอุส ที่จากไปอย่างต่อเนื่องภายในเวลาอันสั้น
การเสียชีวิตของพวกเขาทำให้เกิดข่าวลืออย่างแพร่หลายในกรุงโรม นักประวัติศาสตร์ในยุคโบราณอย่างตากิตุสและคาสซิอุส ดิโอ (Cassius Dio) ถึงกับตั้งข้อสงสัยว่าลิเวีย มารดาของติเบริอุส อาจอยู่เบื้องหลังการกำจัดคู่แข่งเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อเปิดทางให้ลูกชายของตน แม้จะไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด แต่การที่บุคคลสำคัญเหล่านี้เสียชีวิตอย่างมีนัยสำคัญ ก็ทำให้ผู้คนในยุคนั้นอดไม่ได้ที่จะสงสัยถึงเบื้องลึกเบื้องหลัง
ในท้ายที่สุด เมื่อสายเลือดของเอากุสตุสที่คาดหวังว่าจะสืบทอดอำนาจได้เสียชีวิตลงทั้งหมด ก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากต้องหันไปหาติเบริอุส ในปี ค.ศ. 4 เอากุสตุสจึงตัดสินใจรับติเบริอุสเป็นบุตรบุญธรรม แต่กระนั้นเขาก็ยังคงรู้สึกไม่ไว้วางใจติเบริอุสอยู่ดี และกำหนดเงื่อนไขสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกดังกล่าว
ติเบริอุสต้องรับเกร์มานิคุส (Germanicus) หลานชายผู้เป็นที่นิยมซึ่งมีสายเลือดของเอากุสตุสเป็นบุตรบุญธรรมของตนเองด้วย ทั้งที่เขามีบุตรชายแท้ๆ ของตัวเองอยู่แล้ว การกระทำนี้เป็นการเน้นย้ำว่าเอากุสตุสให้ความสำคัญกับสายเลือดทางตระกูลจูเลียนมากกว่าความสามารถของผู้สืบทอดอำนาจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ติเบริอุสรับรู้ได้ดีตลอดชีวิตของเขา
ระบบการสืบทอดอำนาจที่ไม่มั่นคงนี้ชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนในระบอบพริ้นซิปาตุสที่เอากุสตุสสร้างขึ้น แม้จะดูเหมือนเป็นสาธารณรัฐ แต่แท้จริงแล้วมันขึ้นอยู่กับสุขภาพและชีวิตของคนๆ เดียว และความเป็นจริงที่ว่าผู้สืบทอดคนแรกและคนสุดท้ายของเอากุสตุสคือบุตรบุญธรรม และผู้สืบทอดที่แท้จริงต้องมีสายเลือดทางราชวงศ์ ทำให้เกิดการเมืองที่เต็มไปด้วยการวางแผนและโค่นล้มกันเองในครอบครัว ซึ่งเป็นระบบที่สร้างความหวาดระแวงให้กับติเบริอุสไปตลอดชีวิตในฐานะผู้ปกครอง
เมื่อเอากุสตุสเสียชีวิตในปี ค.ศ. 14 ติเบริอุสก็ต้องก้าวขึ้นสู่บทบาทที่เขาไม่ต้องการ การก้าวขึ้นสู่อำนาจของเขาเริ่มต้นอย่างไม่ราบรื่น เพราะวุฒิสภาไม่ไว้วางใจเขา และความลังเลใจที่เขาแสดงออกเพื่อเลียนแบบเอากุสตุส กลับกลายเป็นการส่งสัญญาณที่ผิดพลาดและสร้างความขุ่นเคืองให้กับพวกเขา
ติเบริอุสขาดทักษะทางการเมืองและเสน่ห์ส่วนตัวที่เอากุสตุสมี คำกล่าวของเขาที่ว่า “การปกครองกรุงโรมก็เหมือนกับการจับหมาป่าไว้ที่หู” สะท้อนความรู้สึกของเขาได้อย่างดีเยี่ยม
ในฐานะผู้ปกครองช่วงแรก ติเบริอุสกลับแสดงความสามารถที่น่าทึ่งในฐานะผู้บริหาร เขาเป็นคนประหยัดและบริหารการคลังอย่างรัดกุมจนสามารถเพิ่มคลังหลวงได้ถึง 20 เท่า เขายังให้ความสำคัญกับการปฏิรูปด้านการบริหารและกฎหมาย และรักษาเสถียรภาพของจักรวรรดิได้อย่างยอดเยี่ยม
แต่ความขัดแย้งก็เกิดขึ้นกับเกร์มานิคุส หลานชายผู้เป็นที่นิยม ที่มีนโยบายทางการทหารที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เกร์มานิคุสชื่นชอบการทำสงครามเพื่อขยายดินแดนในเยอรมาเนีย ซึ่งเป็นนโยบายที่อันตรายและสิ้นเปลือง ขณะที่ติเบริอุสผู้มีประสบการณ์โชกโชนในสมรภูมิ ต้องการนโยบายที่เน้นการป้องกันเพื่อรักษาพรมแดนแม่น้ำไรน์ (Rhine) ให้มั่นคง การตัดสินใจเรียกเกร์มานิคุสกลับจากสนามรบจึงเป็นกลยุทธ์ที่สมเหตุสมผล ไม่ใช่ความอิจฉาริษยาอย่างที่นักประวัติศาสตร์บางคนกล่าวอ้าง
แม้ว่าจะฉลาดและไม่ไว้ใจใคร แต่ติเบริอุสกลับวางใจในชายคนหนึ่งอย่างสุดจิตสุดใจ นั่นคือเซยานุส (Sejanus) ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์พรีทอเรียน ติเบริอุสยกย่องเขาว่าเป็น “หุ้นส่วนในความเหนื่อยยากของข้า” และมอบอำนาจอันมหาศาลให้
เซยานุสใช้ตำแหน่งของตนในการรวบรวมอำนาจและเริ่มต้นการพิจารณาคดีก่อกบฏอันน่าสะพรึงกลัว แต่แล้วในขณะที่เซยานุสกำลังจะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจในฐานะผู้ร่วมปกครอง ติเบริอุสที่อยู่ในเกาะคาปรี (Capri) ก็หักหลังเขาอย่างเลือดเย็นด้วยการส่งจดหมายลับไปยังวุฒิสภาเพื่อประณามเซยานุส ซึ่งนำไปสู่การประหารชีวิตเขาอย่างฉับพลัน
เหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงความสามารถในการปกครองของติเบริอุสที่สามารถทำได้จากระยะไกล แต่ในขณะเดียวกันก็ตอกย้ำถึงบุคลิกที่ลึกลับและโหดเหี้ยมของเขา
จุดหักเหที่น่าสนใจที่สุดในชีวิตของติเบริอุสเกิดขึ้นเมื่อเขาตัดสินใจย้ายไปพำนักบนเกาะคาปรีในปี ค.ศ. 26 ซึ่งเป็นช่วงกลางรัชสมัย เขายังคงใช้ชีวิตและปกครองจักรวรรดิจากที่นั่นตลอดช่วงทศวรรษสุดท้ายของชีวิต สาเหตุของการถอยห่างจากกรุงโรมมีหลายประการ บ้างก็ว่าเพื่อหนีจากมารดาผู้บงการและความเครียดทางการเมือง
บ้างก็ว่าเพื่อหลีกหนีจากบุตรชายของตนเอง แต่ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม การที่จักรพรรดิผู้ไม่เคยอยากปกครองเลือกที่จะหลบหนีจากหน้าที่ ก็ได้เปิดประตูสู่ข่าวลือที่ฉาวโฉ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเขา
ซุเอโตนิอุส นักประวัติศาสตร์ในยุคหลัง ได้บันทึกเรื่องราวอันน่าตกตะลึงเกี่ยวกับพฤติกรรมของติเบริอุสบนเกาะแห่งนี้อย่างละเอียด โดยกล่าวหาว่าเขาใช้ชีวิตอย่างเสเพล ปล่อยตัวในกามารมณ์และอบายมุขอย่างไม่จำกัด
มีการตั้งฉายาให้เขาว่า "แพะเฒ่าแห่งคาปรี" โดยอ้างว่าเขาจัดให้มี "กลุ่มเด็กชายก้นฟิต" (tight bums) และ "ปลาตัวน้อย" (little fish) ซึ่งเป็นเด็กชายที่ถูกฝึกให้ว่ายน้ำระหว่างต้นขาของเขาและใช้ปากสัมผัสอวัยวะเพศ นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าว่าเขาเคยล่วงละเมิดเด็กชายในพิธีบูชายัญและสั่งให้ทุบขาของเด็กเหล่านั้นเมื่อพวกเขาออกมาฟ้องร้อง
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบด้าน นักประวัติศาสตร์ที่น่าเชื่อถืออย่างตากิตุสเอง แม้จะมีทัศนคติในเชิงลบต่อติเบริอุส ก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องราวอันน่าตกใจเหล่านี้อย่างจำเพาะเจาะจง
ตากิตุสเพียงกล่าวในภาพรวมว่าในบั้นปลายชีวิต ติเบริอุสปล่อยตัวในความเสเพลที่เคยปกปิดไว้ นักวิชาการสมัยใหม่จึงมองว่าเรื่องราวของซุเอโตนิอุสน่าจะเป็น "เรื่องซุบซิบสมัยโบราณ" ที่ถูกปรุงแต่งเกินจริง เพราะซุเอโตนิอุสเองก็เคยใช้เรื่องราวเกี่ยวกับความเสเพลของจักรพรรดิเป็นเครื่องมือในการบรรยายตัวละครที่เขาไม่ชอบ ซึ่งสะท้อนความไม่เหมาะสมในการปกครองของผู้ปกครองเหล่านั้น
ดังนั้น เราจึงสามารถมองพฤติกรรมของติเบริอุสในบั้นปลายชีวิตผ่านมุมมองที่ต่างออกไปได้ บางทฤษฎีเสนอว่า พฤติกรรมที่ผิดปกติดังกล่าวอาจเป็นผลมาจากอาการ “Moral Injury” หรือบาดแผลทางศีลธรรมและภาวะ "Post-Traumatic Stress Disorder" (PTSD) ที่เขาได้รับจากการถูกทรยศและสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก
ทั้งการหย่าร้างจากภรรยาที่รัก, การเสียชีวิตของน้องชายและบุตรชาย, และการหักหลังของเซยานุส ล้วนเป็นบาดแผลทางใจที่สะสมมาตลอดชีวิต และพฤติกรรมรุนแรงต่างๆ ที่เขาแสดงออกในช่วงท้ายอาจไม่ใช่ความวิปริตทางเพศ แต่เป็นอาการของความรวดร้าวทางอารมณ์ที่ระเบิดออกมาในรูปแบบที่ไม่อาจควบคุมได้
ภาพลักษณ์ของติเบริอุสในหน้าประวัติศาสตร์จึงไม่ใช่คนสองคน แต่เป็นคนคนเดียวกันที่ถูกหล่อหลอมด้วยบาดแผลทางใจที่สะสมมาตลอดชีวิต เขาเป็นอัจฉริยะที่ถูกทำร้ายอย่างแสนสาหัสและไม่เคยได้ใช้ชีวิตตามความต้องการของตนเอง
เรื่องราวของติเบริอุสคือโศกนาฏกรรมคลาสสิกของชาวโรมันอย่างแท้จริง บุรุษผู้มีความสามารถอย่างยิ่งยวดและมีเจตนาอันดีงามต้องพังทลายลงด้วยชีวิตที่เต็มไปด้วยการถูกทรยศหักหลังและความกดดันทางจิตใจจากหน้าที่การงานที่เขาไม่เคยใฝ่ฝัน
ในท้ายที่สุด มรดกของเขาจึงเป็นภาพที่ซับซ้อนและน่าขบคิด ติเบริอุสเป็นคนที่ใช่ในการสืบทอดอำนาจต่อจากเอากุสตุสในแง่ของความสามารถด้านการบริหารและความประหยัดทางการคลัง แต่ในแง่ของบุคลิกและจิตใจ เขาคือคนที่ผิดอย่างมหันต์
แม้ว่าการปกครองของเขาจะทิ้งไว้ซึ่งจักรวรรดิที่มั่นคงและมั่งคั่ง แต่ความหวาดระแวงและความโหดเหี้ยมที่เขาเริ่มขึ้นในช่วงท้ายของชีวิตก็ได้สร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวที่กัดกินราชวงศ์จูลิโอ-คลอเดียน (Julio-Claudian dynasty) ไปอีกนานแสนนาน และได้เป็นปูทางให้กับจักรพรรดิที่วิปริตยิ่งกว่าอย่างคาลิกุลา (Caligula) และเนโร (Nero) ผู้เป็นทายาทของเขา
อ้างอิง
Neh / Getty / Britannica / Colab / Penelope / Epsco / WorldHistory / Livia / Ancient / Roman / Ancienttoman / Dergipark / Allthat / Kidsconnect / Antigone / Tacitus / Nottingham / TheCollector / Pbs / Austins / Ncert / Emperor / Org /