SHORT CUT
เจาะลึก "โจโฉแห่งกัมพูชา" ฮุน เซน: จากคำวิจารณ์สู่ผู้รวบอำนาจเบ็ดเสร็จ วางหมาก "ราชวงศ์การเมือง" อย่างไร้เทียมทาน
ในแวดวงการเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชื่อของ สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน แห่งกัมพูชา คือสัญลักษณ์ของผู้นำที่ครองอำนาจอย่างยาวนานและทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งในยุคสมัยใหม่ ตลอดระยะเวลากว่า 3 ทศวรรษบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เส้นทางการเมืองของเขาเต็มไปด้วยการต่อสู้ การช่วงชิง และการวางหมากกลยุทธ์ที่ซับซ้อน จนได้รับการขนานนามจากทั้งมิตรและศัตรูว่า "โจโฉแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" SPRiNG พาไปเจาะลึกถึงที่มาของฉายาดังกล่าว วิเคราะห์พฤติกรรมและกลยุทธ์ทางการเมืองที่สะท้อนภาพของโจโฉในวรรณกรรมสามก๊ก และสรุปว่าเหตุใดการเปรียบเทียบนี้จึงทรงพลังและอธิบายบทบาทของฮุน เซน ในประวัติศาสตร์การเมืองกัมพูชาได้เป็นอย่างดี
ฉายา "โจโฉ" ที่ใช้เรียกขานฮุน เซน ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้ที่มา แต่มีจุดกำเนิดมาจากบุคคลสำคัญที่เป็นคู่แข่งทางการเมืองของเขาโดยตรง นั่นคือ พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตกษัตริย์และรัฐบุรุษของกัมพูชา
ในช่วงทศวรรษ 1990 หลังจากการลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีส การเมืองกัมพูชาอยู่ในสภาวะเปราะบางของการแบ่งอำนาจระหว่างพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ของฮุน เซน และพรรคฟุนซินเปก (FUNCINPEC) ซึ่งเป็นพรรคของกลุ่มราชานิยมที่นำโดยเจ้านโรดม รณฤทธิ์ พระราชโอรสของสมเด็จฯ สีหนุ
สมเด็จฯ สีหนุ ทรงมองว่าฮุน เซน เป็นนักการเมืองที่มีเล่ห์เหลี่ยมเพทุบายสูง ทะเยอทะยาน และพร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อรวบอำนาจไว้ที่ตนเอง คล้ายคลึงกับลักษณะของ "โจโฉ" ในวรรณกรรมสามก๊ก ซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่เบื้องหลังราชวงศ์ฮั่น การเปรียบเปรยนี้ในตอนแรกจึงมีนัยเชิงวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อชี้ให้เห็นถึงความไม่น่าไว้วางใจและความอำมหิตทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจคือท่าทีของฮุน เซน ต่อฉายานี้ แทนที่จะปฏิเสธ เขากลับยอมรับและดูจะพึงพอใจกับฉายานี้เสียด้วยซ้ำ ในหลายโอกาส ฮุน เซน ได้กล่าวถึงตัวเองในทำนองว่า การเป็นโจโฉหมายถึงการเป็นนักยุทธศาสตร์ที่เก่งกาจและประสบความสำเร็จ การยอมรับนี้ถือเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด เพราะเป็นการเปลี่ยนคำวิจารณ์ให้กลายเป็นเครื่องหมายของความน่าเกรงขามและสติปัญญาทางการเมืองในสายตาผู้สนับสนุน
การที่ฮุน เซน ถูกเปรียบกับโจโฉนั้น มีรากฐานมาจากพฤติกรรมและกลยุทธ์ทางการเมืองหลายประการที่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของโจโฉอย่างยิ่ง
นี่คือกลยุทธ์ที่เด่นชัดที่สุดของฮุน เซน และเป็นยุทธวิธีที่โจโฉใช้บ่อยครั้งในการสยบคู่แข่ง ฮุน เซน มีความสามารถอย่างยิ่งในการมองเห็นรอยร้าวภายในกลุ่มศัตรู และใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งนั้นเพื่อทำลายเอกภาพของฝ่ายตรงข้าม
กรณีพรรคฟุนซินเปก: หลังการเลือกตั้งปี 1993 ที่พรรคฟุนซินเปกชนะ แต่ถูกบีบให้ตั้งรัฐบาลผสม ฮุน เซน ได้บ่อนทำลายพรรคฟุนซินเปกจากภายในอย่างต่อเนื่อง โดยการดึงตัวสมาชิกคนสำคัญให้แปรพักตร์ เสนอตำแหน่งและผลประโยชน์ จนในที่สุดพรรคฟุนซินเปกก็แตกออกเป็นหลายกลุ่มและอ่อนแอลงอย่างสิ้นเชิง culminating ในเหตุการณ์ปะทะด้วยกำลังอาวุธในปี 1997 ที่ฝ่ายของฮุน เซน เป็นผู้ชนะอย่างเด็ดขาด
โจโฉมีวาทะสำคัญที่สะท้อนตัวตนของเขาคือ 宁我负人,毋人负我 (หนิงหวั่วฟู่เหริน, อู๋เหรินฟู่หวั่ว) ซึ่งแปลว่า "ยอมที่เราจะทำผิดต่อคนอื่น ดีกว่าให้คนอื่นมาทำผิดต่อเรา" ปรัชญานี้สะท้อนให้เห็นแนวคิดที่พร้อมจะลงมือก่อนเพื่อป้องกันภัยคุกคามต่ออำนาจของตนเอง
ฮุน เซน ได้แสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดในลักษณะเดียวกันหลายต่อหลายครั้ง
การปราบปรามฝ่ายตรงข้าม: การใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม การยุบพรรคสงเคราะห์ชาติ (CNRP) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุดในปี 2017 การดำเนินคดีกับนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม นักกิจกรรม และสื่อมวลชนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ล้วนเป็นการกระทำที่เด็ดขาดเพื่อขจัดเสี้ยนหนามอำนาจ
เหตุการณ์ปะทะปี 1997: การตัดสินใจใช้กำลังทหารเข้าต่อสู้กับกองกำลังของเจ้านโรดม รณฤทธิ์ ในกรุงพนมเปญ คือตัวอย่างที่ชัดเจนของการไม่ลังเลที่จะใช้ความรุนแรงเพื่อรักษาและรวบอำนาจ
โจโฉไม่ใช่แค่ผู้ปกครองที่โหดเหี้ยม แต่ยังเป็นนักปฏิบัตินิยมที่ยอดเยี่ยม เขายินดีต้อนรับผู้มีความสามารถเข้าร่วมงานด้วยเสมอ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเคยเป็นศัตรูกันมาก่อนหรือไม่ก็ตาม
ฮุน เซน ก็ใช้แนวทางนี้เช่นกัน
นโยบาย "Win-Win": ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ฮุน เซน ได้ดำเนินนโยบาย "Win-Win" เพื่อสลายกองกำลังเขมรแดงที่ยังหลงเหลืออยู่ โดยเสนอการนิรโทษกรรมและให้เข้ามามีส่วนร่วมในสังคมและการเมือง ซึ่งประสบความสำเร็จในการยุติสงครามกลางเมืองที่ยาวนาน
การดึงตัวคู่แข่ง: เขามักจะดึงตัวนักการเมืองจากพรรคฝ่ายค้านที่ยอมอ่อนข้อหรือแปรพักตร์มาให้ตำแหน่งในรัฐบาล เพื่อสร้างความชอบธรรมและลดทอนกำลังของฝ่ายตรงข้ามไปพร้อมกัน
โจโฉแม้ไม่ได้สถาปนาตนเองเป็นฮ่องเต้ แต่ก็ได้วางรากฐานอำนาจไว้อย่างมั่นคงจน "โจผี" บุตรชาย สามารถสถาปนาราชวงศ์วุยขึ้นได้สำเร็จฉันใด ฮุน เซน ก็ได้กระทำการในลักษณะเดียวกัน เขาได้รวบอำนาจเบ็ดเสร็จไว้ในมือตนเองและพรรค CPP โดยแทรกซึมคนของตนเองเข้าไปในทุกองคาพยพของรัฐ ทั้งฝ่ายบริหาร กองทัพ ตำรวจ และตุลาการ และท้ายที่สุดได้วางแผนการสืบทอดอำนาจอย่างเป็นระบบ จนสามารถส่งมอบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับบุตรชายของเขาคือ ฮุน มาเนต ในปี 2023 ได้อย่างราบรื่น ถือเป็นการวางรากฐาน "ราชวงศ์การเมือง" ของตระกูลฮุนให้ปกครองกัมพูชาต่อไป
อ้างอิง
Yale / Sebastian Strangio / SilpaMag / Harish C. Mehta-Julie B. Mehta / Vickery M. /