svasdssvasds

ประวัติศาสตร์ประชาธิปัตย์ ยุคคู่ขวัญ อภิสิทธิ์-สุเทพ

ประวัติศาสตร์ประชาธิปัตย์ ยุคคู่ขวัญ อภิสิทธิ์-สุเทพ

ดีลลับพาทั้งคู่สู่อำนาจ จุดชนวนสงครามสีเสื้อ สู่วันเดินคนละทางของอภิสิทธิ์-สุเทพ ทิ้งประชาธิปัตย์ให้สั่นคลอน

SHORT CUT

  • การขึ้นสู่อำนาจของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในปี พ.ศ. 2551 เป็นผลมาจากวิกฤตทางการเมืองและการยุบพรรคคู่แข่ง (พรรคพลังประชาชน)
  • การขึ้นสู่อำนาจด้วยกลไกนอกระบบปกติของรัฐสภาได้จุดชนวนความขัดแย้งให้ทวีความรุนแรง กลายเป็น "สงครามประชาชน" หรือ "สงครามสีเสื้อ"
  • ภายหลังความพ่ายแพ้การเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 นายสุเทพตัดสินใจลาออกจากการเป็น สส. เพื่อผันตัวไปเป็นแกนนำการเคลื่อนไหวทางการเมืองนอกสภา (กปปส.)

ดีลลับพาทั้งคู่สู่อำนาจ จุดชนวนสงครามสีเสื้อ สู่วันเดินคนละทางของอภิสิทธิ์-สุเทพ ทิ้งประชาธิปัตย์ให้สั่นคลอน

หากย้อนมองประวัติศาสตร์การเมืองไทยในช่วงปลายปี พ.ศ. 2551 จะพบว่าบรรยากาศทางการเมืองเต็มไปด้วยความขัดแย้งที่เดือดพล่านถึงขีดสุด เป็นยุคสมัยที่การเมืองนอกสภาเข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมืองสองขั้วใหญ่ที่รู้จักกันในนาม "เสื้อเหลือง" และ "เสื้อแดง" ซึ่งแต่ละฝ่ายต่างมีความต้องการและจุดยืนที่สวนทางกันอย่างสิ้นเชิง

ประวัติศาสตร์ประชาธิปัตย์ ยุคคู่ขวัญ อภิสิทธิ์-สุเทพ

ในช่วงเวลาที่ความขัดแย้งกำลังทวีความรุนแรงนี้เอง ก็เกิดเหตุการณ์สำคัญที่สร้างสุญญากาศทางการเมืองขึ้น เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองขนาดใหญ่อย่างพรรคพลังประชาชนในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551  ซึ่งเป็นพรรคที่สืบทอดมาจากพรรคไทยรักไทยที่ถูกยุบไปก่อนหน้านี้

ประวัติศาสตร์ประชาธิปัตย์ ยุคคู่ขวัญ อภิสิทธิ์-สุเทพ

การยุบพรรคพลังประชาชนในครั้งนั้น ทำให้กลุ่ม สส. ที่เคยสังกัดพรรคต้องแตกกระเซ็นออกไปหลายกลุ่ม ส่วนใหญ่ไปรวมตัวกันและก่อตั้งพรรคเพื่อไทยขึ้นมาเพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ทางการเมืองเดิม ขณะที่อีกส่วนหนึ่งซึ่งมีจำนวนไม่น้อย นำโดยกลุ่มของนายเนวิน ชิดชอบ ได้ผันตัวไปรวมกับพรรคภูมิใจไทย

สถานการณ์ที่พรรคการเมืองอันดับหนึ่งถูกยุบไปอย่างกะทันหันนี้เอง ได้เปิดช่องทางการเมืองที่คาดไม่ถึง และนำไปสู่การเจรจาต่อรองเพื่อจัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่

ประวัติศาสตร์ประชาธิปัตย์ ยุคคู่ขวัญ อภิสิทธิ์-สุเทพ

ท่ามกลางความสับสนอลหม่านนั้น พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคอันดับสองในการเลือกตั้ง และมี สส. อยู่เพียง 163 คน กลับได้โอกาสสำคัญในการพลิกเกม โดยอาศัยสถานการณ์ที่พรรคคู่แข่งถูกยุบและการแตกตัวของกลุ่ม สส. ที่ไร้สังกัดให้เป็นประโยชน์ 

ที่น่าสนใจคือ การขึ้นสู่อำนาจครั้งนี้ไม่ได้เป็นผลมาจากชัยชนะอย่างเด็ดขาดของพรรคในการเลือกตั้ง แต่มาจากการรวมเสียงสนับสนุนจากกลุ่ม สส. จากพรรคอื่นที่เคยเป็นพันธมิตรของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งปรากฏการณ์นี้ในแวดวงการเมืองไทยเรียกขานกันว่า "งูเห่า"  ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยถึงการหักหลังและทรยศต่อพรรคต้นสังกัด

ความจริงแล้ว การได้มาซึ่งอำนาจของพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนี้จึงไม่ใช่ "ยุครุ่งเรือง" ที่ตั้งอยู่บนฉันทามติของประชาชนส่วนใหญ่ผ่านการเลือกตั้ง แต่เป็นผลลัพธ์จากวิกฤตของฝ่ายตรงข้ามและ "ดีลลับ" ที่เป็นกลไกนอกระบบรัฐสภา ซึ่งสร้างฐานอำนาจที่เปราะบางและมีปัญหาด้านความชอบธรรมทางการเมืองมาตั้งแต่ต้น และรากฐานที่เปราะบางนี้เองที่ได้กลายเป็นต้นตอของมรสุมทางการเมืองที่จะโหมกระหน่ำในเวลาต่อมา

กำเนิดรัฐบาลอภิสิทธิ์ ในยุคการเมืองพลิกผัน

ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับการโหวตจากสภาผู้แทนราษฎรให้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย ด้วยคะแนนเสียง 235 ต่อ 198 คะแนน ชัยชนะครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ และไม่ได้มาจากกำลังของพรรคประชาธิปัตย์เพียงลำพัง เพราะมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้ นั่นคือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ที่ถูกเรียกขานกันว่าเป็น "ผู้จัดการรัฐบาล" ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการเจรจาต่อรองและรวบรวมเสียงจาก สส. พรรคอื่นๆ ให้มาร่วมสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์

นายสุเทพเคยออกมาเล่าถึงเบื้องหลังการเจรจาครั้งนั้นว่า การพูดคุยที่ทำให้บรรลุข้อตกลงได้สำเร็จคือการยอมรับเงื่อนไขของกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มของนายเนวิน ชิดชอบ ที่ในตอนนั้นดูแลกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงคมนาคมอยู่แล้ว 

ประวัติศาสตร์ประชาธิปัตย์ ยุคคู่ขวัญ อภิสิทธิ์-สุเทพ

การเจรจาครั้งนี้จึงได้ข้อสรุปว่ากลุ่มของนายเนวินจะได้ดูแลกระทรวงเกรด A ทั้งสองกระทรวงต่อไป ซึ่งถือเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่สำคัญเพื่อนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลผสม

การขึ้นสู่อำนาจของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ด้วยกลไกนอกระบบปกติของระบอบรัฐสภา ได้จุดชนวนความขัดแย้งที่สั่งสมมาตั้งแต่ช่วงหลังรัฐประหาร 2549 ให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง เพราะรัฐบาลชุดนี้ถูกมองว่าไม่ได้มาจากฉันทามติของประชาชนส่วนใหญ่ผ่านการเลือกตั้ง แต่มาจากการรวมตัวกันของ สส. ที่แยกตัวออกจากพรรคคู่แข่ง ซ

กลไกเหล่านี้ได้สร้างความชอบธรรมที่เปราะบางให้กับรัฐบาล และทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองเปลี่ยนรูปแบบจากสงครามระหว่างพรรคการเมือง ไปสู่ "สงครามประชาชน" ที่มีประชาชนจำนวนมหาศาลเข้าร่วมในนามของกลุ่มสีเสื้อต่างๆ

สงครามสีเสื้อ สองขั้วอำนาจในสงครามประชาชน

ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ การเมืองไทยเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งความขัดแย้งที่ร้าวลึกที่สุด โดยมีสองขั้วอำนาจที่เผชิญหน้ากันอย่างชัดเจน นั่นคือกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ "คนเสื้อแดง" ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สนับสนุนอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร กับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และผู้สนับสนุนรัฐบาล "คนเสื้อเหลือง" ซึ่งมีความเห็นว่าการโค่นล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะนำไปสู่วิกฤตทางการเมืองครั้งใหม่

การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 โดยมีเป้าหมายเพื่อขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เมื่อสถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น รัฐบาลจึงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อควบคุมการชุมนุมที่เริ่มยืดเยื้อและมีการปะทะกันบ่อยครั้งระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้ชุมนุม

ประวัติศาสตร์ประชาธิปัตย์ ยุคคู่ขวัญ อภิสิทธิ์-สุเทพ  

ในเหตุการณ์ช่วงสงกรานต์ที่ผู้ชุมนุมบุกเข้าไปในที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่พัทยา รัฐบาลได้สั่งใช้กำลังทหารเข้าควบคุมสถานการณ์อย่างเด็ดขาด ซึ่งตามมาด้วยการออกหมายจับแกนนำหลายคน เช่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, นายวีระ มุสิกพงศ์ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ เหตุการณ์ครั้งนั้นจบลงเมื่อรัฐบาลประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินในวันที่ 24 เมษายน 2552

บาดแผลจากเหตุการณ์ครั้งก่อนยังไม่ทันจางหาย ในปี พ.ศ. 2553 กลุ่มคนเสื้อแดงได้กลับมาชุมนุมครั้งใหญ่กว่าเดิมที่แยกราชประสงค์ ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2553 การชุมนุมครั้งนี้ยืดเยื้อและเผชิญกับมาตรการของรัฐบาลที่ใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามและรถหุ้มเกราะเข้าปิดล้อมพื้นที่

นำไปสู่การปะทะกันอย่างรุนแรงและมีการเสียชีวิตของทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดขึ้นเมื่อมีการลอบยิง พล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ "เสธ.แดง" จนเสียชีวิต

ในวันสุดท้ายของการสลายการชุมนุมคือวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 แกนนำ นปช. ได้ตัดสินใจประกาศยุติการชุมนุมและเข้ามอบตัวกับตำรวจ แต่ผู้ชุมนุมบางส่วนไม่เห็นด้วยและแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง หลังจากนั้นได้เกิดเหตุการณ์วางเพลิงเผาอาคารและศูนย์การค้าหลายแห่ง ก่อนที่ผู้ชุมนุมจะแยกย้ายกันกลับ

เหตุการณ์นี้สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง โดยข้อมูลจากคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ซึ่งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์เป็นผู้แต่งตั้ง ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตรวม 92 ราย และบาดเจ็บกว่า 1,500 รายตลอดช่วง 69 วันของการชุมนุม

การใช้กำลังเข้าควบคุมสถานการณ์อย่างรุนแรงของรัฐบาลในครั้งนี้ แม้จะยุติการชุมนุมลงได้ แต่ก็ได้ทิ้งบาดแผลที่ยากจะเยียวยาไว้ในสังคมไทย ความชอบธรรมของรัฐบาลที่มาจากการจัดตั้งนอกระบบการเลือกตั้งถูกตั้งคำถามซ้ำอีกครั้งด้วยการตัดสินใจใช้กำลังทางทหารเพื่อแก้ปัญหาทางการเมืองอย่างรุนแรง ซึ่งการเลือกใช้มาตรการเช่นนี้ได้ทำให้ความแตกแยกทางความคิดในสังคมยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น และกลายเป็นต้นตอสำคัญของความขัดแย้งที่ยังคงส่งผลต่อเนื่องในทศวรรษถัดไป

จากพรรคการเมืองสู่ "มวลมหาประชาชน"

หลังจากพ่ายแพ้การเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส. 159 ที่นั่ง ส่วนพรรคเพื่อไทยได้ 265 ที่นั่ง และได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์จึงต้องกลับมาทำหน้าที่ฝ่ายค้านอีกครั้ง 

ความพ่ายแพ้ครั้งนี้นำมาซึ่งการตัดสินใจครั้งสำคัญของแกนนำพรรคอย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ประกาศลาออกจากการเป็น สส. พร้อมกับ สส. อีก 9 คน เพื่อผันตัวจากการเป็นนักการเมืองในระบบไปสู่การเป็นแกนนำการเคลื่อนไหวทางการเมืองนอกสภา

ในที่สุด การเคลื่อนไหวดังกล่าวได้นำไปสู่การจัดตั้ง "คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" หรือ กปปส. ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขาธิการ การก่อตั้ง กปปส. มีความเชื่อมโยงกับพรรคประชาธิปัตย์อย่างชัดเจน เพราะแกนนำและสมาชิกส่วนใหญ่ล้วนเป็นอดีต สส. และผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ไม่ว่าจะเป็นนายชุมพล จุลใส อดีต สส. พรรคประชาธิปัตย์และแกนนำ กปปส. เคยยืนยันอย่างชัดเจนว่า กปปส. มีจุดเริ่มต้นมาจากพรรคประชาธิปัตย์ และอดีต ส.ส. เหล่านี้จะกลับเข้าพรรคหลังการเลือกตั้ง

ประวัติศาสตร์ประชาธิปัตย์ ยุคคู่ขวัญ อภิสิทธิ์-สุเทพ

กำนันสุเทพกับ "สงครามครั้งสุดท้าย" ที่อาจจะยังไม่จบ

แกนนำ กปปส. ภายใต้การนำของนายสุเทพได้กำหนดเป้าหมายหลักของการเคลื่อนไหวที่สำคัญหลายประการ ซึ่งรวมถึงการต่อต้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม, การ "ขจัดอิทธิพลของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และที่สำคัญที่สุดคือการเรียกร้องให้มีการจัดตั้ง "สภาประชาชน" ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เพื่อทำการปฏิรูปประเทศก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหม่

การเคลื่อนไหวของ กปปส. ที่อ้างตัวว่าเป็น "การต่อสู้ของพลเมืองดี" นั้นถูกมองว่าเป็นความพยายามบ่อนทำลายกลไกของระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน 

อาจารย์ด้านรัฐศาสตร์อย่าง รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย เคยวิเคราะห์ผ่านงานเรื่อง ขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.)ว่ายุทธศาสตร์ของ กปปส. พึ่งพา "โครงสร้างโอกาสทางการเมือง" (political opportunity structures) เพื่อสร้างภาวะ "รัฐล้มเหลว" (failed state) ซึ่งเป็นการสร้างภาวะสุญญากาศทางการเมืองเพื่อให้เกิดการรัฐประหารในท้ายที่สุด

ยุทธวิธีของ กปปส. ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน พวกเขาใช้การชุมนุมโดยไม่มีอาวุธ และใช้บทสวดมนต์เป็นสัญลักษณ์แห่ง "สงบ สันติ อหิงสา" แต่ในขณะเดียวกัน ก็ใช้ยุทธวิธีที่รุนแรงในการสร้างภาวะอัมพาตให้กับรัฐบาลด้วยการ "ปิดกรุงเทพฯ" และยึดสถานที่ราชการสำคัญหลายแห่ง

ประวัติศาสตร์ประชาธิปัตย์ ยุคคู่ขวัญ อภิสิทธิ์-สุเทพ

การเลือกใช้ "วาทกรรมชาตินิยมราชา" (royal nationalism) และการสร้างความชอบธรรมให้แก่การกระทำของตนในฐานะ "พลเมืองดี" ที่กำลังปกป้องประเทศ เป็นการใช้เครื่องมือทางอุดมการณ์อย่างแยบยลเพื่อผลักดันเป้าหมายทางการเมืองที่พ่ายแพ้ในระบบการเลือกตั้ง

ความพ่ายแพ้ในระบบรัฐสภา

หลังจากความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 ซึ่งพรรคเพื่อไทยสามารถกวาดที่นั่ง สส. ไปได้ถึง 265 ที่นั่ง ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เพียง 159 ที่นั่ง และต้องผันตัวไปเป็นฝ่ายค้านอย่างเต็มตัว ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของยุคสมัยนี้ เพราะมันคือเงื่อนไขที่ทำให้นายสุเทพตัดสินใจผันตัวไปเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวทางการเมืองนอกสภา ซึ่งเป็นกลไกที่ทำให้เกิดวิกฤตการเมืองในที่สุด

หลังจากพา กปปส. ยุติบทบาทลงเพราะการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2557 นายสุเทพได้กลับมาทำกิจกรรมทางการเมืองในรูปแบบการสร้างพรรครวมพลังประชาชาติไทย แต่ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าจะไม่ขอรับตำแหน่งทางการเมืองใดๆ อีกต่อไป

ประวัติศาสตร์ประชาธิปัตย์ ยุคคู่ขวัญ อภิสิทธิ์-สุเทพ

คำประกาศนี้ทำให้เขายังคงรักษาภาพลักษณ์ "ผู้นำมวลชน" ที่ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองและทำให้เส้นทางของเขามีความแตกต่างจากนักการเมืองอาชีพทั่วไป

ในขณะที่นายสุเทพได้ออกจากเส้นทางการเมืองในระบบไปอีกหนึ่งผู้นำพรรคอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ต้องเผชิญกับจุดพลิกผันในเส้นทางการเมืองของตัวเองเช่นกัน หลังจากผลการเลือกตั้ง พ.ศ. 2562 ที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถทำผลงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

นายอภิสิทธิ์ได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคทันทีในคืนวันเลือกตั้ง แต่เหตุการณ์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนยิ่งกว่านั้น คือการตัดสินใจลาออกจากการเป็น สส. ในเวลาต่อมา

ในวันประกาศลาออก นายอภิสิทธิ์ได้ให้เหตุผลที่ลึกซึ้งและมีความหมายอย่างยิ่งว่า "ไม่สามารถทำงานโดยไร้อุดมการณ์ทางการเมืองที่เคยให้ไว้ได้" เขาอธิบายว่าไม่สามารถโหวตสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ได้ เพราะขัดกับคำพูดที่เคยให้ไว้กับประชาชนก่อนการเลือกตั้ง

เขามองว่า "สิ่งซึ่งใหญ่กว่ามติพรรค คือสัญญาประชาคม" ที่เขาได้ให้ไว้กับประชาชนทั้งประเทศ การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าในภาวะที่พรรคต้องเลือกระหว่างการเข้าร่วมรัฐบาลเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองกับอุดมการณ์ที่เคยยึดถือมาตลอด พรรคได้เลือกอย่างหลัง ทำให้ผู้นำอย่างอภิสิทธิ์ต้องตัดสินใจเดินออกจากบ้านของตัวเองเพื่อรักษาหลักการที่เขาเชื่อมั่น

ยุคสมัยของอภิสิทธิ์และสุเทพในพรรคประชาธิปัตย์เป็นบทเรียนที่สำคัญของการเมืองไทยสมัยใหม่ โดยเฉพาะการที่พรรคต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ใหญ่หลวง

ประวัติศาสตร์ประชาธิปัตย์ ยุคคู่ขวัญ อภิสิทธิ์-สุเทพ  

การขึ้นสู่อำนาจด้วยกลไกที่ไม่ได้มาจากความนิยมอย่างท่วมท้น ตามมาด้วยการตัดสินใจใช้ความรุนแรงทางการเมืองและการที่แกนนำคนสำคัญต้องผันตัวไปทำการเมืองนอกสภาล้วนส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อพรรคประชาธิปัตย์ในระยะยาว

ผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนคือการที่พรรคเริ่มสูญเสียฐานเสียงสำคัญ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ซึ่งเป็นฐานที่มั่นดั้งเดิม รศ.ดร. บูฆอรี ยีหมะ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลาได้วิเคราะห์ไว้ว่า ความแข็งแกร่งของพรรคในภาคใต้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ช่วงการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นมา นอกจากนี้ ภาพลักษณ์ของพรรคในฐานะ "สถาบันทางการเมือง" ที่เคยแข็งแกร่งและไม่ยึดติดกับตัวบุคคลก็ถูกสั่นคลอนลงอย่างหนักจากการตัดสินใจในช่วงวิกฤตที่ผ่านมา

การลาออกของนายสุเทพที่ผันตัวเองจากนักการเมืองอาชีพไปเป็นผู้นำการเมืองภาคประชาชนและการจากไปของนายอภิสิทธิ์ที่แสดงให้เห็นถึงการขาดความสมดุลระหว่างอุดมการณ์และผลประโยชน์ทางการเมืองของพรรคเป็นเสมือนภาพสะท้อนที่บอกเล่าเรื่องราวของพรรคการเมืองเก่าแก่ที่ต้องเผชิญกับพายุแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ และได้ทิ้งมรดกแห่งความแตกแยกที่ยังคงส่งผลต่อการเมืองไทยในปัจจุบันไว้ให้ได้ขบคิดกันต่อไป

อ้างอิง

Thai / Politics / Matter / ST / KPI / Momen / ST1 / KPI1 / Thai1 / KPI2 / กปปส / วราวุฒิคำพานุช / BUU / การเมือง / ลุงกำนัน / Public / ประชาไท / Momen1 / PSU /

related