SHORT CUT
ล็อกฮีด มหากาพย์สินบนข้ามชาติยุค สั่นคลอนการเมืองโลก. บริษัทจ่ายใต้โต๊ะให้ผู้นำญี่ปุ่น-ยุโรป ถึงขั้นจับกุมนายกรัฐมนตรี และนำสู่การออกกฎหมาย FCPA ต้านคอร์รัปชันโลก
ฉากในรัฐสภาไทยเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการอภิปรายเรื่องการคอร์รัปชันครั้งสำคัญ เมื่อนายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้กล่าวในระหว่างแถลงนโยบายรัฐบาลเพื่อตอบโต้คำวิจารณ์ของ สส. พรรคเพื่อไทยเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขา
นายไชยยชนก ยอมรับว่าแม้ตนจะเป็นรัฐมนตรีป้ายแดง แต่ก็จะไม่ยอมแพ้ต่อการทุจริต และได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า มีผู้ติดต่อมาทางอ้อมเพื่อเสนอเงินสินบนสูงถึง 40 ล้านบาทต่อเดือน ข้อเสนอนี้มีเงื่อนไขชัดเจน คือการขอให้รัฐมนตรีละเว้นการปราบปรามและจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ และเว็บไซต์ผิดกฎหมาย
การเปิดเผยเรื่องการเสนอสินบน 40 ล้านบาทต่อเดือน เพื่อแลกกับการ "ไม่ทำงาน" หรือ "ซื้อความเงียบ" ของหน่วยงานรัฐ เป็นการตอกย้ำว่าอาชญากรรมดิจิทัลได้เติบโตจนกลายเป็นอำนาจทางเศรษฐกิจที่พร้อมจะท้าทายอำนาจรัฐอย่างโจ่งแจ้ง
หากเป็นจริงการที่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมดังกล่าวกล้าลงทุนด้วยเงินมหาศาลเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงมูลค่าความเสียหายที่พวกเขาได้รับจากการหลอกลวงประชาชนในแต่ละเดือน ซึ่งสูงกว่าเงินสินบนที่เสนอหลายเท่าตัว การเสนอเงินเพื่อซื้อความล้มเหลวในการบังคับใช้กฎหมายจึงไม่ใช่แค่การทุจริตทั่วไป แต่เป็นการบ่อนทำลายอธิปไตยทางกฎหมายของรัฐโดยตรง
สถานการณ์นี้ชวนให้ย้อนมองประวัติศาสตร์ไปเมื่อกว่าห้าทศวรรษที่แล้วสู่ "มหากาพย์ล็อคฮีด" (Lockheed Scandal) ในช่วงทศวรรษ 1970 คดีนี้เป็นที่รู้จักในฐานะคดีสินบนข้ามชาติที่โด่งดังที่สุดในโลก โดยเกี่ยวข้องกับการที่บริษัทอเมริกันรายใหญ่จ่ายเงินใต้โต๊ะให้แก่ผู้นำทางการเมืองระดับสูงและเจ้าหน้าที่รัฐบาลในหลายประเทศทั่วโลก ตั้งแต่ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ ไปจนถึงอิตาลี เพื่อให้ได้มาซึ่งสัญญาการขายเครื่องบิน
มหากาพย์ล็อคฮีดจบลงด้วยการจับกุมนายกรัฐมนตรีของประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ และที่สำคัญที่สุด คือ มันเป็นแรงผลักดันโดยตรงให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องออกกฎหมายต้านการทุจริตที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก นั่นคือ Foreign Corrupt Practices Act (FCPA) ในปี 1977
การเปรียบเทียบระหว่าง "สินบนยุคสงครามเย็น" (การซื้อขายเครื่องบินรบและอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์) กับ "สินบนยุคดิจิทัล" (การซื้อขายความเงียบในการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์) จะช่วยให้เข้าใจว่า ธรรมชาติของคอร์รัปชันได้ปรับเปลี่ยนไปอย่างไร แต่เป้าหมายยังคงเดิม นั่นคือ การแทรกแซงอำนาจรัฐด้วยเงินจำนวนมหาศาล เพื่อแลกกับผลประโยชน์ส่วนตนหรืออาชญากรรม
เรื่องราวของ Lockheed ไม่ใช่แค่เรื่องของความโลภ แต่เป็นเรื่องการล้มละลายทางการเงินนำไปสู่การติดสินบนในระดับโลก โดยบริษัท Lockheed Aircraft Corporation เป็นผู้รับเหมาด้านกลาโหมรายใหญ่ของสหรัฐฯ แต่ในช่วงปลายทศวรรษ 1960s และต้น 1970s
บริษัทประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนักจากความล้มเหลวเชิงพาณิชย์ของเครื่องบินโดยสารรุ่น L-1011 TriStar เพื่อป้องกันไม่ให้ยักษ์ใหญ่ด้านการบินนี้ล้มละลาย รัฐบาลสหรัฐฯ จึงต้องเข้ามาค้ำประกันเงินกู้สูงสุด 250 ล้านดอลลาร์ ผ่าน Emergency Loan Guarantee Act ปี 1971 การค้ำประกันโดยรัฐบาลนี้เองที่ทำให้เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ มีอำนาจในการตรวจสอบบัญชีและปฏิบัติการของบริษัทอย่างใกล้ชิด
การที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องเข้ามาค้ำประกันเงินกู้ให้แก่บริษัทขนาดใหญ่อย่าง Lockheed ไม่เพียงแต่แสดงถึงความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของบริษัทเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงภาวะที่บริษัทต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดทางการเงิน
ในเดือนสิงหาคม 1975 คณะกรรมการเงินกู้ (ELGB) เริ่มตรวจสอบว่า Lockheed ละเมิดเงื่อนไขในการไม่เปิดเผยการจ่ายเงินในต่างประเทศ ความกดดันในการถูกเปิดโปงนี้รุนแรงจนกระทั่งรองประธานและเหรัญญิกของ Lockheed ได้ก่อเหตุฆ่าตัวตายทันทีหลังจากที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลเข้าตรวจสอบสำนักงานใหญ่ในแคลิฟอร์เนีย
เหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดนี้ตอกย้ำว่า คดีสินบนนี้ไม่ได้เป็นเพียงความผิดทางกฎหมายและจริยธรรม แต่ยังสร้างความเสียหายทางจิตใจและศีลธรรมอย่างรุนแรงแก่บุคคลที่เกี่ยวข้อง
คณะกรรมการวุฒิสภาสหรัฐฯ ภายใต้การนำของวุฒิสมาชิกแฟรงก์ เชิร์ช (Church Committee) ซึ่งถูกตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบการใช้อำนาจของหน่วยงานข่าวกรองและบริษัทอเมริกัน ได้เปิดโปงอย่างละเอียดว่า Lockheed จ่ายเงินสินบนและค่านายหน้ามหาศาลในหลายประเทศ เพื่อให้รัฐบาลเหล่านั้นซื้อเครื่องบินของตน
ญี่ปุ่น การจับกุมนายกรัฐมนตรีที่รับสินบน
กรณีที่สร้างแรงสั่นสะเทือนที่สุดเกิดขึ้นในญี่ปุ่น Lockheed จ่ายสินบนกว่า 12 ล้านดอลลาร์ในต้นทศวรรษ 1970s เพื่อผลักดันการขายเครื่องบิน TriStar ให้กับสายการบิน All Nippon Airways
หลักฐานสำคัญชี้ไปที่นายกรัฐมนตรี คาคุเอย์ ทานากะ ซึ่งได้รับเงินสินบนผ่านคนกลางราว 500 ล้านเยน (ประมาณ 1.6 ล้านดอลลาร์) ทานากะถูกจับกุมในเดือนกรกฎาคม 1976 และในปี 1983 ศาลโตเกียวตัดสินว่าเขามีความผิดและต้องโทษจำคุก 4 ปี
อย่างไรก็ตาม บทเรียนสำคัญจากกรณีทานากะคือ "ความซับซ้อนของความรับผิดชอบทางการเมือง" แม้ศาลจะตัดสินว่าเขามีความผิด แต่โทษจำคุกนั้นมาจากการละเมิดกฎหมายควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ไม่ใช่ข้อหาการรับสินบนโดยตรง
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ทานากะไม่เคยต้องโทษจำคุกจริง เขาใช้การอุทธรณ์ทางกฎหมายจนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1993 และในระหว่างนั้น เขายังคงรักษาอิทธิพลทางการเมืองผ่านกลุ่มก้อนของตนเองได้อย่างเหนียวแน่น
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า แม้จะมีการเปิดโปงและตัดสินความผิดทางกฎหมายแล้ว แต่ผู้นำที่มีอำนาจสูงอาจยังคงหลีกเลี่ยงผลกระทบที่แท้จริงของการลงโทษได้ ซึ่งเป็นความท้าทายที่ระบบยุติธรรมทั่วโลกต้องเผชิญ
การจ่ายสินบนไม่ได้จำกัดอยู่แค่เอเชีย แต่ลามไปทั่วยุโรปและตะวันออกกลาง คณะกรรมการวุฒิสภาพบว่า Lockheed จ่าย "ค่านายหน้า" หรือ "ค่าคอมมิชชั่น" จำนวนมหาศาลกับเจ้าหน้าที่ในประเทศต่างๆ
ในเนเธอร์แลนด์ เจ้าชายเบิร์นฮาร์ด พระสวามีของสมเด็จพระราชินีนาถจูเลียนา ถูกระบุว่ารับสินบนหลายล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนการซื้อเครื่องบิน
ขณะที่ในอิตาลี Lockheed ยอมรับว่าจ่ายเงิน 2 ล้านดอลลาร์ให้ทางการอิตาลีในช่วงปลายทศวรรษ 1960s เพื่อทำสัญญาซื้อขายเครื่องบิน 100 ล้านดอลลาร์
นายจิโอวานนี เลโอเน (Giovanni Leone) อดีตประธานาธิบดีอิตาลี ได้ลาออกจากตำแหน่งเมื่อปี 1978 เนื่องจากตกเป็นข่าวอื้อฉาวในคดีสินบนของบริษัทล็อคฮีด (Lockheed)
การจ่ายเงินที่คล้ายกันนี้ยังเกิดขึ้นในเยอรมนี ตุรกี กรีซ เม็กซิโก และซาอุดิอาระเบีย
คดี Lockheed สร้างความอับอายครั้งใหญ่ให้กับสหรัฐอเมริกา เนื่องจากบริษัทอเมริกันไปมีส่วนทำให้ผู้นำในประเทศพันธมิตรต้องติดคุก แทนที่จะปกปิดความอับอาย รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์ ซึ่งประณามการกระทำของ Lockheed ว่า "น่ารังเกียจทางจริยธรรม" ได้ตัดสินใจเปลี่ยนวิกฤตนี้ให้เป็นโอกาสในการสร้างมาตรฐานใหม่ด้านจริยธรรมการทำธุรกิจระดับโลก
ผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุด คือ การออก Foreign Corrupt Practices Act (FCPA) ในปี 1977 กฎหมายนี้เป็นกฎหมายฉบับแรกของโลกที่มุ่งเน้นการลงโทษ "ผู้ให้สินบน" (Supply-Side Corruption) โดยห้ามบริษัทสหรัฐฯ และบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ จ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างชาติเพื่อ "ได้มาหรือรักษาไว้ซึ่งธุรกิจ"
FCPA ได้กลายเป็นมรดกทางกฎหมายที่ทรงอิทธิพล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเจตจำนงทางการเมืองที่เข้มแข็งของสหรัฐฯ ในการต่อสู้กับการคอร์รัปชันข้ามชาติ
ความเข้มแข็งของกฎหมายนี้ยังคงดำรงอยู่ แม้แต่ Lockheed Martin (บริษัทที่พัฒนาต่อจาก Lockheed) ก็ยังถูกลงโทษซ้ำในปี 1995 โดยถูกปรับ 24.8 ล้านดอลลาร์ และรองประธานบริษัทถูกจำคุก 18 เดือนจากการจ่ายสินบนในอียิปต์ การลงโทษที่ยั่งยืนเช่นนี้แสดงให้เห็นว่า การสร้างกฎหมายที่เด็ดขาดและการบังคับใช้ที่ต่อเนื่องเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรและต่อสู้กับการทุจริตในระยะยาว
บทเรียนจากกรณี คาคุเอย์ ทานากะ ในญี่ปุ่น แสดงให้เห็นว่า การเปิดโปงไม่ได้เท่ากับการสร้างความรับผิดชอบที่สมบูรณ์ ทานากะสามารถใช้ช่องว่างทางกฎหมายและการเมืองเพื่อหลีกเลี่ยงโทษจำคุกจริง และยังคงดำรงอิทธิพลทางการเมืองในรูปแบบที่เรียกว่า "Kleptocratic Rule" จนกระทั่งเสียชีวิต นี่คือความท้าทายที่รอการตัดสินของไทย
กรณี 40 ล้านบาทของไทยจึงเป็นบททดสอบที่สำคัญยิ่ง การที่รัฐมนตรีป้ายแดงกล้าปฏิเสธเงินจำนวนมหาศาล และสั่งให้มีการสอบสวนโดยมีหน่วยงานภายนอกเข้ามาดูแล ถือเป็นการแสดง "เจตจำนงทางการเมือง" ที่จะต่อสู้กับคอร์รัปชัน
ความสำเร็จของรัฐบาลจะไม่ถูกวัดที่การเปิดเผยข้อมูล แต่จะถูกวัดที่การที่คณะกรรมการสอบสวนสามารถนำผู้เสนอสินบนและคนกลางมาลงโทษได้อย่างโปร่งใส เด็ดขาด และไม่สามารถล้มล้างคำตัดสินได้ง่ายๆ
หากรัฐบาลชุดนี้สามารถคลี่คลายคดีนี้และลงโทษผู้เกี่ยวข้องได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรมตามแนวทางสากล มันจะเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังทุกภาคส่วน ทั้งอาชญากรรมดิจิทัลและข้าราชการที่ไม่ซื่อสัตย์ ว่าประเทศไทยจริงจังกับการปราบปรามการทุจริตโดยไม่มีข้อยกเว้น
คดีล็อคฮีดสอนให้โลกรู้ว่า เงินสินบนจากบริษัทขนาดใหญ่สามารถล้มรัฐบาลและผู้นำระดับสูงได้ แต่ก็ได้ทิ้งมรดกไว้เป็นกฎหมาย FCPA ที่คอยกำกับดูแลพฤติกรรมของบรรษัทข้ามชาติ ในวันนี้ กรณีสินบน 40 ล้านบาทของนายชัยชนก ชิดชอบ ได้นำพาประเทศไทยเข้าสู่จุดที่ต้องตัดสินใจว่าจะสร้างมรดกอะไรในการต่อสู้กับ "คอร์รัปชันในยุคอาชญากรรมดิจิทัล"
การที่รัฐมนตรีกล้าเปิดโปงเรื่องนี้ถือเป็น "ก้าวแรกแห่งความกล้า" ที่สำคัญยิ่ง อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่กว่าคือการทำให้แน่ใจว่า ความกล้านี้จะไม่จบลงด้วยวาทกรรมทางการเมือง
ความสำเร็จของประเทศไทยในคดีนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเปิดเผยจำนวนเงิน 40 ล้านบาท แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั้งหมดในการระบุตัวผู้บงการและเครือข่ายที่อยู่เบื้องหลังอาชญากรรมดิจิทัลเหล่านี้ และนำมาซึ่งการลงโทษทางกฎหมายที่ไม่สามารถอุทธรณ์ให้พ้นผิดได้เหมือนที่เกิดขึ้นกับนายกรัฐมนตรีคาคุเอย์ ทานากะ
หากไทยสามารถทำได้สำเร็จ จะเป็นการแสดงเจตจำนงในการปกป้องธรรมาภิบาลและพลเมืองดิจิทัลได้อย่างแท้จริง และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการยกระดับมาตรฐานการต่อสู้คอร์รัปชันของประเทศในเวทีโลก
อ้างอิง
MR / ThaNation / EBSCO / SLG / BOI / SSC / OIP / EM / NUS / SCHO / Thai / Nation / Rath / TDRI / Till / Gani /