svasdssvasds

การเมืองฉบับ ศิลปอาชา ดึงกลุ่มการเมืองหลายมุ้งค้ำเก้าอี้นายกฯ

การเมืองฉบับ ศิลปอาชา ดึงกลุ่มการเมืองหลายมุ้งค้ำเก้าอี้นายกฯ

การเมืองฉบับ "มังกรสุพรรณ" บรรหาร ศิลปอาชา ผู้ก้าวสู่จุดสูงสุดจากระบบ "บ้านใหญ่" รัฐบาลผสม เผชิญ "คำสาป" ไร้เสถียรภาพ และจบฉากด้วยกลยุทธ์ "ยุบสภาดัดหลัง"

SHORT CUT

  • นายบรรหาร ศิลปอาชา หรือ "มังกรสุพรรณ" ก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 โดยอาศัยความเชี่ยวชาญในการสร้างเครือข่ายและการประนีประนอมทางการเมืองภายใต้ระบบ "บ้านใหญ่"
  • รัฐบาลเผชิญการต่อต้านอย่างรุนแรงจากชนชั้นกลางในเมือง เนื่องจากนายบรรหารถูกมองว่าเป็น "เจ้าพ่อ" หรือผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น
  • หลังจากเผชิญแรงกดดันอย่างหนักและถูกพรรคร่วมรัฐบาลบีบให้ลาออก นายบรรหาร ศิลปอาชา ได้ใช้กลยุทธ์อำนาจที่เฉียบขาดคือ "ยุบสภาดัดหลัง"

การเมืองฉบับ "มังกรสุพรรณ" บรรหาร ศิลปอาชา ผู้ก้าวสู่จุดสูงสุดจากระบบ "บ้านใหญ่" รัฐบาลผสม เผชิญ "คำสาป" ไร้เสถียรภาพ และจบฉากด้วยกลยุทธ์ "ยุบสภาดัดหลัง"

หากย้อนดูหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยในช่วงกลางทศวรรษ 2530 จะเห็นว่าประเทศกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ หลังจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬในปี พ.ศ. 2535 กระแสความต้องการ "ประชาธิปไตยแบบเปิด" ที่นำโดยชนชั้นกลางในเมืองได้แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

แต่ในขณะเดียวกัน การเมืองก็ยังคงเป็นยุคของรัฐบาลผสมหลายพรรค เพราะไม่มีพรรคการเมืองใดสามารถกวาดเสียงข้างมากได้อย่างเด็ดขาด สภาวะที่ไม่มีพรรคใดแข็งแกร่งพอจะครองอำนาจแต่เพียงผู้เดียวเช่นนี้ เปิดโอกาสทองให้นักการเมืองผู้เชี่ยวชาญด้านการประนีประนอมและการสร้างเครือข่าย อย่างนายบรรหาร ศิลปอาชา ได้ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ของประเทศไทย

นายบรรหาร ศิลปอาชา แห่งจังหวัดสุพรรณบุรี คือตัวอย่างคลาสสิกของนักการเมืองที่เติบโตมาจากระบบ "บ้านใหญ่"  

โดยคำว่า "บ้านใหญ่" ในทางการเมืองไทย ไม่ได้หมายถึงแค่คฤหาสน์ใหญ่โต แต่หมายถึงครอบครัวนักการเมืองที่มีอิทธิพลยาวนานในระดับท้องถิ่น มีเครือข่ายความสัมพันธ์กับคนในชุมชนอย่างกว้างขวาง และสามารถรวบรวมฐานเสียงจำนวนมากได้ 

นายบรรหารเองได้รับฉายาที่สะท้อนถึงพลังอำนาจนี้ว่า "มังกรสุพรรณ"การเมืองแบบบ้านใหญ่จึงเป็นสูตรสำเร็จที่ใช้ได้ผลจริงในการเข้าสู่อำนาจระดับชาติ

ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยให้ความเห็นไว้ว่า “บ้านใหญ่” ในปัจจุบันคือตระกูลการเมือง แต่ถ้ามองย้อนกลับไปมันคือ ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่เดิมที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างรัฐกับประชาชน เนื่องจากรัฐส่วนกลางที่รวมศูนย์อำนาจมาก ๆ มักขาดศักยภาพในการดูแลทุกข์สุขของราษฎรได้อย่างทั่วถึงกลุ่มบ้านใหญ่จึงเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้และสร้างฐานอำนาจที่มั่นคงผ่านระบบอุปถัมภ์ (Patronage)

อย่างไรก็ตาม การขึ้นสู่อำนาจของนายบรรหารในปี พ.ศ. 2538 ก็มาพร้อมกับความเปราะบางอย่างถึงที่สุด รัฐบาลผสม 7 พรรคที่ก่อตั้งขึ้นจากการต่อรองมุ้งการเมืองจำนวนมหาศาล ทำให้เสถียรภาพสั่นคลอนตั้งแต่แรกเริ่ม

นี่คือการปะทะกันของสองรูปแบบของประชาธิปไตยในไทย ประชาธิปไตยที่เน้นประสิทธิภาพและความโปร่งใส (ที่ชนชั้นกลางในเมืองเรียกร้อง) กับประชาธิปไตยที่เน้นการประสานประโยชน์และอุปถัมภ์ (ที่บ้านใหญ่เชี่ยวชาญ)

สุดท้ายแล้ว รัฐบาลที่ใช้สูตรสำเร็จจากการรวมบ้านใหญ่เข้าด้วยกัน ก็ต้องเผชิญกับ "คำสาปของรัฐบาลผสม" ที่เต็มไปด้วยการต่อรองและความขัดแย้งภายใน จนทำให้นายบรรหารต้องตัดสินใจยุบสภาเพื่อหนีแรงบีบคั้นทางการเมือง หลังจากการบริหารประเทศได้เพียง 1 ปี 2 เดือนเท่านั้น

บันไดขั้นแรกสู่ทำเนียบรัฐบาลของมังกรสุพรรณ

การขึ้นมาของนายบรรหาร ศิลปอาชา ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล มีที่มาจากการล้มรัฐบาลชุดก่อนหน้าอย่างมีกลยุทธ์ การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 เกิดขึ้นเนื่องจากนายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัย (หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์) ตัดสินใจยุบสภาเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2538

สาเหตุหลักที่นำไปสู่การยุบสภาคือการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ในกรณีการจัดสรรที่ดิน ส.ป.ก.4-01 

ในครั้งนั้น พรรคฝ่ายค้านนำโดยนายบรรหาร ศิลปอาชา ได้ใช้ประเด็นนี้โจมตีอย่างหนัก หัวใจสำคัญของความสำเร็จในการล้มรัฐบาลชวน คือบทบาทของ กลุ่ม 16 ซึ่งนำโดย นายเนวิน ชิดชอบ และ นายสุชาติ ตันเจริญ ที่เป็นขุนพลหลักในการอภิปราย 

นอกจากนี้ พรรคพลังธรรม ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลของนายชวน ก็มีมติงดออกเสียงให้รัฐบาล ทำให้รัฐบาลชวนขาดความมั่นใจในเสียงสนับสนุนและต้องยุบสภาไปก่อนการลงมติ

พรรคชาติไทย พรรคอันดับหนึ่งที่ไม่มีเสียงข้างมากเด็ดขาด

เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา ปรากฏว่าพรรคชาติไทยที่มีนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นหัวหน้าพรรค ได้จำนวน สส. มากที่สุดคือ 92 คน แม้จะเป็นพรรคอันดับหนึ่ง แต่จำนวน สส. ก็ยังห่างไกลจากกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลชุดใหม่จะต้องเป็น รัฐบาลผสม อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นี่คือความท้าทายแรกและเป็นจุดกำเนิดของความไม่มั่นคง รัฐบาลผสมบรรหารจึงประกอบด้วยพรรคการเมืองถึง 7 พรรคการเมือง ได้แก่

  1. พรรคชาติไทย (แกนนำ, นายบรรหาร ศิลปอาชา)
  2. พรรคความหวังใหม่ (พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ)
  3. พรรคพลังธรรม (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร)
  4. พรรคกิจสังคม (มนตรี พงษ์พานิช)
  5. พรรคประชากรไทย (สมัคร สุนทรเวช)
  6. พรรคนำไทย
  7. พรรคมวลชน

การจัดตั้งรัฐบาล 7 พรรคที่รวมเอาบ้านใหญ่และมุ้งการเมืองหลายกลุ่มเข้าด้วยกัน สะท้อนถึงการเมืองแห่งการ "บุญคุณ" และ "หนี้บุญคุณ" ที่ต้องจ่ายอย่างสูง

การเมืองแห่งหนี้บุญคุณและมุ้งที่เปราะบาง

การที่พรรคชาติไทยพลิกกลับมาเป็นแกนนำได้ เป็นผลโดยตรงจากการล้มรัฐบาลชวน ด้วยเหตุนี้ การจัดตั้งรัฐบาลใหม่จึงถูกมองว่าต้องจ่าย "หนี้บุญคุณ" ให้กับกลุ่มคนที่ช่วยให้บรรหารขึ้นสู่อำนาจ โดยเฉพาะกลุ่ม 16

การเมืองไทยในช่วงทศวรรษ 2530 ถือเป็นช่วงเวลาที่กลุ่มการเมืองหรือ "มุ้ง" ภายในพรรคมีอิทธิพลอย่างชัดเจนมาก ในระบบรัฐบาลผสมที่ไม่มีใครมีเสียงข้างมากเด็ดขาดเช่นนี้ มุ้งต่างๆ จึงใช้การกดดันเพื่อสร้างอำนาจต่อรองสูงมาก โดยเฉพาะในการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี

การรับเอาความเสี่ยงทางการเมืองและภาพพจน์ที่ไม่ดีของกลุ่มการเมืองเหล่านั้นเข้ามาในคณะรัฐมนตรีด้วยการตอบแทนตำแหน่ง จึงเป็นรากฐานสำคัญของความไร้เสถียรภาพที่จะตามมา 

ความจำเป็นในการประนีประนอมกับมุ้งต่างๆ ทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ที่ลงตัวของแต่ละกลุ่ม

คำสาปของรัฐบาลผสม ภาพพจน์ "เจ้าพ่อ" และการขาดประสิทธิภาพ

รัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา เผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อนกว่าการต่อรองทางการเมืองระหว่างพรรค แต่ยังรวมถึงวิกฤตความชอบธรรมที่ปะทุขึ้นทันทีหลังเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งสะท้อนความขัดแย้งระหว่างการเมืองท้องถิ่นกับความคาดหวังของเมืองหลวง

การจัดสรรโควตาที่นำมาซึ่งปัญหาใหญ่

เพื่อตอบแทน "หนี้บุญคุณ" ที่ได้กล่าวถึง รัฐบาลนายบรรหารได้จัดสรรตำแหน่งสำคัญให้กับพันธมิตรอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะสมาชิก กลุ่ม 16 ที่เป็นขุนพลในการล้มรัฐบาลชวน ต่างได้รับการตอบแทนด้วยตำแหน่งรัฐมนตรี

นายสุชาติ ตันเจริญ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายเนวิน ชิดชอบ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง, และ นายสนธยา คุณปลื้ม เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

การตอบแทนเหล่านี้สะท้อนว่า การเมืองผสมยุคนั้นคือการเมืองที่มี "การกำหนดราคา" ของการร่วมรัฐบาล (Political Cost) ผู้ที่สามารถล้มรัฐบาลได้ย่อมเรียกร้องราคาที่สูงกว่าปกติ 

การจัดสรรตำแหน่งเหล่านี้ทำให้รัฐบาลแบกรับความเสี่ยงสูงมาก เพราะกลุ่มที่เข้ามามีอำนาจมีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายอิทธิพลและการเงิน ซึ่งขัดแย้งกับกระแสการเมืองที่ต้องการความโปร่งใสหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ

วิกฤตภาพพจน์ จาก "มังกรสุพรรณ" สู่ "เจ้าพ่อ"

รัฐบาลชุดนี้ถูกจับตามองและถูกโจมตีอย่างรุนแรงจากชนชั้นกลางในเมือง บทความของ พรภิรมณ์ เชียงกูล เรื่อง “An Analysis of Banharn Silapaarcha Government (1995-1996) in Historical Perspective” ได้วิเคราะห์ถึงวิกฤตภาพพจน์นี้ไว้อย่างชัดเจน

ว่า ภูมิหลังของนายบรรหารถูกมองในฐานะ “นักธุรกิจคนดังต่างจังหวัด” หรือ “ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น” ซึ่งในบทคัดย่อภาษาอังกฤษระบุว่าเป็น “Chao Poh” (เจ้าพ่อ) 

ทัศนคติเชิงนี้ทำให้ชนชั้นกลางในเมืองใหญ่มีอคติต่อนายบรรหารตั้งแต่แรก การเป็นผู้นำรัฐบาลที่รวมเอา "บ้านใหญ่" จากต่างจังหวัดเข้ามาบริหารประเทศอย่างเต็มรูปแบบ จึงเป็นภาพที่ยากจะได้รับการยอมรับจากสังคมเมืองที่เพิ่งผ่านการเรียกร้องประชาธิปไตยแบบตรวจสอบได้

จุดอ่อนด้านเศรษฐกิจยุคโลกาภิวัตน์

นอกจากปัญหาด้านภาพพจน์แล้ว พรภิรมณ์ เชียงกูล ยังให้ความเห็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพการบริหารประเทศ โดยเฉพาะในมิติเศรษฐกิจ 

ระบุว่า คณะรัฐมนตรีชุดนี้ถูกมองว่า “ขาดประสิทธิภาพ” และที่สำคัญคือ “ขาดโลกทัศน์ในความเข้าใจและการเข้าถึงเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ของนักบริหารรุ่นใหม่”

ความไม่พอใจเหล่านี้ไม่ได้มีแค่ในกลุ่มชนชั้นกลางเท่านั้น แต่ยังขยายไปถึงชนชั้นนายทุนในเมืองใหญ่ด้วย ในยุคที่ประเทศไทยกำลังถูกเชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจโลกอย่างรวดเร็ว (ก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง) การที่คณะรัฐมนตรีถูกมองว่าขาดความรู้ความสามารถในการบริหารเศรษฐกิจระดับสากล ย่อมสั่นคลอนความเชื่อมั่นของตลาดและเป็นอีกปัจจัยหลักที่เร่งให้เกิดความไร้เสถียรภาพ

การเมืองแบบบ้านใหญ่ที่เน้นการประสานประโยชน์ท้องถิ่น จึงไม่สามารถตอบโจทย์ความท้าทายทางเศรษฐกิจในระดับโลกได้อีกต่อไป

มรสุมใหญ่ วิกฤตคดีและการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

อายุของรัฐบาลบรรหารสั้นลงอย่างรวดเร็วเมื่อเผชิญกับมรสุมการตรวจสอบจากฝ่ายค้าน ที่ใช้ประเด็นอื้อฉาวทางการเงินมาโจมตีอย่างตรงจุด

ฝ่ายค้านเปิดฉากโจมตี คดีราเกซ สักเสนา (BBC Scandal)

ในปี พ.ศ. 2539 สถานการณ์ทางการเมืองพลิกกลับข้างเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นฝ่ายค้าน นำโดย นายชวน หลีกภัย ขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลจำนวน 10 คน ในเดือนพฤษภาคม 2539

แกนกลางของการอภิปรายครั้งนี้คือการเปิดโปงคดีทุจริตในธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ (BBC) โดยเน้นไปที่ความเชื่อมโยงของคนใน กลุ่ม 16 (ซึ่งได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีจากนายบรรหาร) กับ นายราเกซ สักเสนา ที่ปรึกษาของธนาคาร

ข้อมูลระบุว่ามีการกว้านซื้อที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ (ที่ดินเปล่าที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย) นำมาใช้เป็นหลักประกันการกู้เงินจากธนาคารในวงเงินมหาศาล

แม้ว่าผู้บริหารธนาคารจะถูกลงโทษและนายราเกซ สักเสนา จะหลบหนีไปแคนาดา แต่ผลกระทบทางการเมืองก็หนักหน่วงยิ่งกว่า แรงกดดันจากการอภิปรายทำให้พรรคพลังธรรม ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ประกาศงดออกเสียงไว้วางใจ นายสุชาติ ตันเจริญ

แม้รัฐมนตรีคนอื่นจะรอดไปได้ แต่การถูกงดออกเสียงจากพรรคร่วมอย่างชัดเจนนี้ ทำให้เกิดความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลอย่างรุนแรง นำไปสู่การลาออกของ นายสุชาติ ตันเจริญ และ นายเนวิน ชิดชอบ พร้อมกับรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ในกลุ่ม 16

คดี BBC ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องที่สะท้อนความเปราะบางทางเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มาจากฐานรากของบ้านใหญ่ที่อาจจะขาดความเข้าใจในกลไกตลาดสมัยใหม่

การเปิดโปงความฉ้อฉลทางการเงินที่เชื่อมโยงกับนักการเมืองที่มีอิทธิพล ถือเป็นสัญญาณอันตรายที่บั่นทอนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง และเป็นหนึ่งในปัจจัยเร่งก่อนวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540

วันสุดท้ายของรัฐบาลมังกรสุพรรณ แทงใจดำ บรรหารโดยตรง

หลังจากสูญเสียขุนพลกลุ่ม 16 ไปแล้ว มรสุมลูกที่สองก็พุ่งเป้ามาที่ตัวนายบรรหาร ศิลปอาชา ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2539 พรรคประชาธิปัตย์ยื่นญัตติขออภิปรายไม่ไว้วางใจนายบรรหาร ในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเพียงคนเดียว

การอภิปรายยาวนานตั้งแต่วันที่ 18-20 กันยายน พ.ศ. 2539 เต็มไปด้วยข้อกล่าวหาที่ดุเดือดรุนแรงถึง 13 ประเด็น ข้อกล่าวหาเหล่านี้พุ่งเป้าไปที่ความชอบธรรมส่วนตัวของนายบรรหารอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เช่น เรื่องการแปลงสัญชาติ (การกล่าวหาว่านายบรรหารเป็นคนจีนไม่ใช่คนไทย ซึ่งทำให้นายบรรหารถึงกับสับสนว่าตนเกิดในเรือสำเภาจีนขณะเดินทางเข้ามาในไทยหรือไม่) 

การหนีภาษีขายที่ดิน, การรับเงินสนับสนุนจากนายราเกซ สักเสนา ในคดี BBC, และกรณีคัดลอกวิทยานิพนธ์

พรภิรมณ์ เชียงกูล วิเคราะห์ว่า การโจมตีของฝ่ายค้านเป็นไปอย่าง "ดุเดือดรุนแรง" ตลอด 3 วัน 3 คืน การถูกโจมตีทางวาจาอย่างหนักหน่วงนี้ ทำให้ความชอบธรรมของนายบรรหารในสายตาของสาธารณชนลดลง

จุดแตกหักและการพลิกเกม: กลยุทธ์ "ยุบสภาดัดหลัง"

แม้ว่านายบรรหารจะได้รับเสียงไว้วางใจในการลงมติในวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2539 ด้วยคะแนน 207 ต่อ 180 เสียง แต่ชัยชนะครั้งนี้ก็เป็นชัยชนะที่ว่างเปล่า เพราะอำนาจที่แท้จริงได้หลุดมือไปแล้ว

ก่อนการลงมติ พรรคร่วมรัฐบาลได้มีการประชุมและบีบให้นายบรรหาร ศิลปอาชา ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยขู่ว่าหากไม่ลาออก พรรคความหวังใหม่ พรรคนำไทย และพรรคมวลชน จะไม่ยกมือไว้วางใจให้

ในขณะนั้น พรรคร่วมรัฐบาลได้เริ่มเตรียมการสรรหาตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้ว โดยมีชื่อของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ เป็นตัวเต็งที่จะขึ้นมาแท นายบรรหารพยายามต่อรองขอลาออกภายใน 7 วัน

กลยุทธ์ "มังกรสุพรรณ" ใช้ไพ่ใบสุดท้ายคือยุบสภา

การตัดสินใจของนายบรรหารในช่วงวิกฤตถือเป็นบทเรียนสำคัญในเกมอำนาจของไทย นายบรรหาร ศิลปอาชา ไม่ได้ลาออกตามที่รับปาก แต่กลับใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีที่มีอยู่ ตราพระราชกฤษฎีกายุบสภา ในวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2539

การยุบสภาในครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์ที่เฉียบขาดของ "มังกรสุพรรณ" ในการ "ดัดหลัง" พรรคร่วมรัฐบาล หากนายบรรหารยอมลาออกตามการบีบ เขาจะสูญเสียอำนาจควบคุมรัฐบาลทันที และรัฐบาลผสมเดิมจะสามารถเลือกนายกฯ ใหม่ (เช่น พล.อ.ชวลิต) โดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้ง

การตัดสินใจยุบสภาเป็นการเสียอำนาจในระยะสั้น (จบตำแหน่งนายกฯ) แต่เป็นการปฏิเสธที่จะให้พันธมิตรคนอื่นเข้ามากุมอำนาจรัฐบาลโดยง่าย และเป็นการบังคับให้ทุกคนต้องกลับไปสู้ในสนามเลือกตั้งใหม่ 

นี่คือการแสดงให้เห็นถึงความชำนาญในการเล่นเกมอำนาจที่เลือกทางออกที่เจ็บปวดแต่เป็นประโยชน์ต่อเครือข่ายตนเองที่สุดในระยะยาว

ผลลัพธ์การสิ้นสุดของรัฐบาลใน 1 ปี 2 เดือน

ด้วยการยุบสภา รัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา จึงสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว หลังจากบริหารประเทศได้เพียง 1 ปี 2 เดือน การเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่เกิดขึ้นในปลายปี 2539 โดยมีพรรคความหวังใหม่ชนะการเลือกตั้ง และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ต่อมา

เมื่อมองย้อนกลับไปที่การล่มสลายของรัฐบาลบรรหาร นักวิชาการได้สรุปว่าปัญหาไม่ได้มาจากความขัดแย้งภายในอย่างเดียว แต่มาจากปัจจัยสามด้านที่ซ้อนทับกันอย่างเป็นระบบ คือ ปัญหาความชอบธรรม, ปัญหาทางเศรษฐกิจ และความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล

วิทยานิพนธ์ระดับปริญญามหาบัณฑิตของ วิศิษฎ ชัชวาลทิพากร ได้ทำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญามหาบัณฑิต เรื่อง “การไร้เสถียรภาพของรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา ศึกษาในเชิงปัญหาความชอบธรรม ปัญหาทางเศรษฐกิจ และความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล” ชี้ให้เห็นว่า ความล้มเหลวของรัฐบาลบรรหารเป็นผลมาจากปัจจัยหลักสามประการที่แยกออกจากกันไม่ได้

  1. ปัญหาความชอบธรรม (Legitimacy) รัฐบาลขาดความชอบธรรมในสายตาของชนชั้นกลางในเมือง การที่นายบรรหารถูกมองว่าเป็น “เจ้าพ่อ” หรือผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น และถูกโจมตีอย่างรุนแรงเรื่องชาติกำเนิดและประวัติด้านการเงิน ทำให้ฐานการสนับสนุนทางศีลธรรมของรัฐบาลถูกบั่นทอนอย่างหนัก
  2. ความขัดแย้งในพรรคร่วม (Coalition Conflict): การรวมตัวกันของ 7 พรรคที่เต็มไปด้วยมุ้งการเมืองที่มีอำนาจต่อรองสูง ทำให้การบริหารงานไม่เป็นเอกภาพ เกิดการต่อรองอำนาจตลอดเวลา จนนำไปสู่การถูกบีบให้ลาออกโดยพันธมิตรเอง
  3. ปัญหาทางเศรษฐกิจและประสิทธิภาพ (Economic Problem): คณะรัฐมนตรีถูกวิจารณ์ว่า “ขาดประสิทธิภาพ” และ “ขาดโลกทัศน์” ที่จำเป็นในการจัดการเศรษฐกิจในยุคโลกาภิวัตน์ ปัญหานี้ถูกตอกย้ำด้วยวิกฤตทางการเงินที่เชื่อมโยงกับคดี BB

ขณะที่ พรภิรมณ์ เชียงกูล ได้สรุปผลกระทบจากภาพพจน์ที่ไม่ดีและการขาดประสิทธิภาพนี้ไว้ว่า นำไปสู่ “การต่อต้านจากชนชั้นนายทุนและชนชั้นกลางในเมืองใหญ่

นี่คือข้อสรุปที่มีนัยยะสำคัญอย่างยิ่ง การเมืองฉบับบ้านใหญ่ที่นายบรรหารถนัด ซึ่งเน้นการสร้างเครือข่ายอุปถัมภ์และตอบสนองผลประโยชน์ของกลุ่มการเมืองที่นำพามาซึ่งอำนาจนั้น ไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของชนชั้นกลางในเมืองที่ต้องการความโปร่งใส, ความทันสมัย และการบริหารที่มีประสิทธิภาพหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬได้อีกต่อไป

อย่างไรก็ตามท่ามกลางวิกฤตและความไร้เสถียรภาพ รัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา ก็ได้ทิ้งมรดกสำคัญไว้ให้กับการเมืองไทย ซึ่งเป็นความพยายามสร้างความชอบธรรมที่ยั่งยืน แม้จะไม่ได้ช่วยยืดอายุรัฐบาลของท่านก็ตาม

นโยบายสำคัญที่นายบรรหาร ศิลปอาชา ใช้ในการหาเสียงคือการประกาศว่าจะดำเนินการปฏิรูปการเมืองและจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลบรรหารได้ดำเนินการตามสัญญาประชาคมนี้ทันที 

นายบรรหารได้สนับสนุนให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534 จนทำให้เกิด สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นมาเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

แม้ว่ารัฐบาลของนายบรรหารจะล่มสลายไปก่อน แต่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็ได้แล้วเสร็จและประกาศใช้ในเวลาต่อมาในปี พ.ศ. 2540 รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 ถูกยกย่องในภายหลังว่าเป็น “รัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด” ฉบับหนึ่งในประวัติศาสตร์ประเทศไทย และเป็นฉบับที่กำเนิดขึ้นจาก “ฝีมือประชาชนฉบับแรก”

การที่รัฐบาลที่ถูกมองว่าเป็นตัวแทนของ "บ้านใหญ่" และ "เจ้าพ่อ" เลือกที่จะผลักดัน "รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน" ที่เน้นความโปร่งใสและการตรวจสอบ จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นยุทธศาสตร์ที่จำเป็นเพื่อ "ซื้อความชอบธรรม" จากชนชั้นกลางในเมืองที่ต่อต้านรัฐบาล

การผลักดันให้เกิด รธน. 40 จึงเป็นความพยายามอย่างยิ่งยวดของรัฐบาลที่มีภาพพจน์ด้านลบในการสร้างมรดกเชิงบวก เพื่อล้างภาพลักษณ์เดิม แม้ว่ากลยุทธ์นี้จะไม่ได้ช่วยยืดอายุของรัฐบาล แต่ก็ได้ทิ้ง "เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย" ที่สำคัญไว้เบื้องหลัง

นายบรรหาร ศิลปอาชา คือนักการเมืองที่ประสบความสำเร็จสูงสุดบนเส้นทาง "บ้านใหญ่" จากการใช้ฐานเสียงท้องถิ่นที่แข็งแกร่ง (มังกรสุพรรณ) ผนวกกับความสามารถในการสร้างเครือข่ายและการประนีประนอมทางการเมือง

ชัยชนะในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2538 เกิดจากการดึงมุ้งการเมืองหลายกลุ่มและบ้านใหญ่ทั่วประเทศมารวมกันภายใต้ร่มเงาของพรรคชาติไทย อย่างไรก็ตาม การขึ้นสู่อำนาจด้วยสูตร 7 พรรค และการจัดสรรตำแหน่งเพื่อตอบแทนมุ้งต่างๆ (เช่น กลุ่ม 16) ทำให้รัฐบาลต้องเผชิญกับ "คำสาปของรัฐบาลผสม" คือความไม่มั่นคงและการถูกต่อรองอำนาจโดยพันธมิตรตลอดเวลา

สุดท้ายแล้ว การยุบสภาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2539 คือการจบฉากอย่างรวดเร็ว แต่ก็เป็นกลยุทธ์ที่เฉียบขาดของนายบรรหารในการพลิกเกมและปฏิเสธการถ่ายโอนอำนาจให้แก่พรรคร่วมที่ต้องการโค่นล้มตนเอง

แม้จะเป็นรัฐบาลที่สั้นและเต็มไปด้วยความขัดแย้ง แต่มรดกที่สำคัญจากการผลักดันให้เกิดรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า "มังกรการเมือง" ที่เติบโตมาจากระบบบ้านใหญ่ ก็สามารถสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่และเป็นคุณูปการต่อประชาธิปไตยไทยและสังคมไทยได้ หากมีแรงกดดันทางการเมืองที่ถูกต้องและมีการบริหารเชิงกลยุทธ์ที่มุ่งสร้างความชอบธรรมในระยะยาว

อ้างอิง

พรภิรมณ์ เชียงกูล / การเมือง / SilpaMag / สถาบันพระปกเกล้า / สถาบันพระปกเกล้า1 / ชวน-บรรหาร / SilpaMag1 / รัฐสภา / วช / Voice /

related