svasdssvasds

กลยุทธเสียงหลอนในสามก๊ก ทำศัตรูนอนไม่หลับ การทำลายขวัญศัตรู

กลยุทธเสียงหลอนในสามก๊ก ทำศัตรูนอนไม่หลับ การทำลายขวัญศัตรู

เสียงหลอนที่ฮั่นสุ่ย กลยุทธ์ทำลายขวัญ กำลังใจศัตรูให้นอนไม่หลับ "กลองสายฟ้า" ยุทธวิธีจิตวิทยาจากยุคสามก๊กที่ยังใช้ได้จนถึงวันนี้

SHORT CUT

  • เรื่องเล่าที่แพร่หลายในวรรณกรรมสามก๊ก ยกความดีความชอบในการใช้กลยุทธ์เสียงกลองก่อกวนโจโฉที่แม่น้ำฮั่นสุ่ยให้กับขงเบ้ง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอัจฉริยะ
  • กลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่จูล่งใช้จริงๆ ไม่ใช่การตีกลองก่อกวนอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นการใช้หลักการจิตวิทยาแบบย้อนกลับ โดยการเปิดประตูค่ายทั้งหมด ลดธงลง และ หยุดตีกลองโดยสิ้นเชิง
  • ยุทธวิธีที่เน้นการก่อกวนด้วยเสียงและการทำลายการพักผ่อนที่ใช้ในการทัพฮั่นจงนั้น แสดงให้เห็นถึงช่องโหว่พื้นฐานทางจิตวิทยาของมนุษย์

เสียงหลอนที่ฮั่นสุ่ย กลยุทธ์ทำลายขวัญ กำลังใจศัตรูให้นอนไม่หลับ "กลองสายฟ้า" ยุทธวิธีจิตวิทยาจากยุคสามก๊กที่ยังใช้ได้จนถึงวันนี้

เรื่องราวจากยุคสามก๊ก ที่เป็นที่เล่าขานกันอย่างกว้างขวางคือตำนานที่ปรึกษาอัจฉริยะนาม ขงเบ้ง ซึ่งเสนอแผนการสุดล้ำให้ เล่าปี่ เพื่อรับมือกับทัพใหญ่ของ โจโฉ ที่มาตั้งประจันหน้ากันโดยมีแม่น้ำฮั่นสุ่ยขวางกั้นอยู่

เล่าปี่กังวลว่าโจโฉจะยกกำลังเข้าโจมตีเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้น ขงเบ้งจึงสั่งให้ขุนพลคู่ใจอย่าง จูล่ง  นำทหารไปประจำริมแม่น้ำ และยามค่ำคืนก็ให้ตีกลอง เป่าแตร โห่ร้องส่งเสียงดังลั่นเหมือนจะเข้าตีจริงๆ ฝ่ายโจโฉที่ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมก็ต้องเร่งเตรียมรับศึกอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนไม่ได้พักผ่อน

สุดท้ายโจโฉก็ทนการก่อกวนหนักหน่วงนี้ไม่ไหว ต้องสั่งถอยทัพห่างจากแม่น้ำออกไปถึงสามสิบลี้ เล่าปี่จึงอาศัยจังหวะนี้ส่งทัพตามตีในขณะที่ข้าศึกกำลังถอยทัพอย่างวุ่นวาย

คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นจากเรื่องเล่าที่สนุกสนานนี้คือ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงตามที่เล่าหรือไม่? และใครกันแน่ที่เป็นจอมยุทธ์ผู้อยู่เบื้องหลังการใช้กลยุทธ์ "เสียงกลองทำลายประสาท" นี้? การตรวจสอบเรื่องราวนี้จะช่วยให้เราสามารถแยกแยะระหว่างสิ่งที่บันทึกไว้ใน "พงศาวดาร" (ประวัติศาสตร์จริง) ออกจากสิ่งที่เสริมเติมแต่งเพื่อความสนุกใน "วรรณกรรม" (นวนิยายอิงประวัติศาสตร์) ได้อย่างชัดเจน

การแกะรอยตำนาน ใครคือจอมยุทธ์แห่งเสียงกลอง?

เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในช่วงของ "ยุทธการฮั่นจง" (Hanzhong Campaign) ซึ่งกินระยะเวลายาวนานตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 217 ถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 219 ฮั่นจงเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง เพราะตั้งอยู่ที่จุดตัดระหว่างที่ราบภาคกลางกับแอ่งเสฉวน 

ทำให้พื้นที่นี้ถูกขนานนามว่าเป็น "ลำคอ" ของมณฑลอี้โจว ซึ่งเป็นฐานที่มั่นหลักของเล่าปี่ และถือเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายสำหรับการดำรงอยู่ของรัฐจ๊กก๊กในอนาคต

ในช่วงปลายของการทัพนี้ กองทัพของเล่าปี่ใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า การโจมตีเป้าหมายสำคัญอย่างต่อเนื่องเพื่อให้กำลังของโจโฉอ่อนล้าและเสบียงขาดแคลน 

จุดแตกหักที่สำคัญที่สุดเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 219 เมื่อแฮหัวเอี๋ยนหนึ่งในขุนพลคนสำคัญของโจโฉถูกสังหารที่เขาเตงกุนสัน

การสูญเสียครั้งนี้สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อขวัญกำลังใจของทัพวุย โจโฉต้องนำทัพใหญ่พร้อมเสบียงจำนวนมหาศาลมายังฮั่นจงด้วยตนเองในเดือนเมษายน ค.ศ. 219 เพื่อหวังจะแก้แค้นและยึดพื้นที่คืน การเผชิญหน้าระหว่างสองฝ่ายจึงเกิดขึ้นริมแม่น้ำฮั่นสุ่ย

พลิกตำราสามก๊กฉบับวรรณกรรม 

ในสายตาของสาธารณชนส่วนใหญ่ เรื่องราวของ "กลองแห่งฮั่นสุ่ย" มักถูกยกความดีความชอบให้กับขงเบ้ง ซึ่งเป็นภาพจำที่มาจากนวนิยายอิงประวัติศาสตร์สมัยศตวรรษที่ 14 เรื่อง สามก๊ก ฉบับวรรณกรรม

ในบทที่ 71 ของวรรณกรรม กล่าวถึงเหตุการณ์ที่จูล่งได้รับคำสั่งให้ไปช่วยเหลือฮองตง และขงเบ้งได้วางแผนเชิงจิตวิทยาโดยละเอียด โดยสั่งให้หลิวเฟิงและเมิ่งต๋านำทหารสามพันนายไปจัดตั้งป้ายธงและธงทิวจำนวนมากตามจุดยุทธศาสตร์บนภูเขา 

เพื่อสร้างภาพลวงตาว่ามีกองทัพขนาดมหึมาเตรียมพร้อมอยู่ ซึ่งนี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการเพื่อข่มขู่และสร้างความสับสนให้กับข้าศึก

การที่ผู้แต่งนวนิยายคือหลอกว้านจง มักจะมอบเครดิตให้กับขงเบ้งสำหรับกลยุทธ์อันชาญฉลาดแทบทุกครั้งที่เกิดขึ้นกับฝ่ายเล่าปี่ (เช่นเดียวกับกลยุทธ์เมืองว่าง) เป็นเพราะขงเบ้งเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอัจฉริยะที่เหนือธรรมชาติในช่วงสามก๊ก 

การใส่ "กลยุทธ์การล่อลวงด้วยเสียง" และ "กลยุทธ์การแสดงกำลังพล" เข้าไปในบัญชีของขงเบ้งจึงเป็นการทำให้ภาพลักษณ์ของตัวละครนี้ยิ่งใหญ่และเป็นที่จดจำมากขึ้น ซึ่งเรื่องราวที่ผู้ใช้งานคุ้นเคย ที่ว่าขงเบ้งเป็นผู้เสนอแผน จึงเป็นผลผลิตที่ทรงพลังของวรรณกรรมที่ครอบงำความจริงทางประวัติศาสตร์ไปแล้ว

ส่องบันทึกประวัติศาสตร์ ชัยชนะอันกล้าหาญของจูล่ง

แต่เมื่อเราย้อนไปตรวจสอบบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เป็นทางการอย่าง จดหมายเหตุสามก๊กและส่วนขยายของมันโดยเผ่านักประวัติศาสตร์ของ เผย ซงจือ เหตุการณ์ที่แม่น้ำฮั่นสุ่ยในเดือนเมษายน ค.ศ. 219 นี้ แท้จริงแล้วเป็นเรื่องราวที่แสดงถึงความกล้าหาญและไหวพริบของ จูล่ง โดยตรง

เรื่องราวตามบันทึกทางประวัติศาสตร์เริ่มขึ้นเมื่อขุนพลฮองตง ได้นำทหารออกไปตัดเสบียงของโจโฉที่บริเวณตีนเขาทางเหนือ แต่กลับมาล่าช้ากว่ากำหนด จูล่งจึงนำทหารม้าเบาเพียงเล็กน้อยออกไปตามหา 

ในระหว่างทาง จูล่งและทหารของเขาได้ปะทะเข้ากับกองทัพหลักของโจโฉที่กำลังยกกำลังเสริมเข้ามาอย่างรวดเร็ว จูล่งถูกทหารโจโฉล้อม แต่เขาก็สามารถต่อสู้ฝ่าวงล้อมออกมาได้ และยังช่วยจางจู่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่บาดเจ็บไว้ได้ด้วย ก่อนจะล่าถอยกลับเข้าค่ายอย่างรวดเร็ว

ยุทธวิธีที่แท้จริงของจูล่ง "กลองสายฟ้า" แห่งแม่น้ำฮั่นสุ่ย

เมื่อจูล่งล่าถอยกลับมายังค่าย โดยมีกองทัพโจโฉติดตามมาอย่างกระชั้นชิด นายทัพที่ป้องกันค่ายในขณะนั้นคือจางอี้ได้แนะนำให้ปิดประตูค่ายเพื่อป้องกันการบุก แต่จูล่งกลับตัดสินใจที่น่าตกใจ เขาสั่งให้ทหาร เปิดประตูค่ายทั้งหมด (แทนที่จะปิด) ลดธงและป้ายลง และ หยุดตีกลองรบ โดยสิ้นเชิง

กลยุทธ์นี้คือการใช้หลักจิตวิทยาแบบย้อนกลับเมื่อกองทัพโจโฉ (ซึ่งอาจนำโดยโจโฉเอง) มาถึงและเห็นค่ายเปิดโล่งและเงียบสนิท พวกเขาไม่คิดว่าจูล่งกำลังอ่อนแอ แต่กลับเกิดความหวาดระแวงอย่างรุนแรงว่านี่คือ กับดักซุ่มโจมตีขนาดใหญ่ 

ยุทธวิธีที่ใช้ความเงียบเพื่อลวงให้ศัตรูกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็นนั้น เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดที่คล้ายคลึงกับกลยุทธ์เมืองว่าง ซึ่งเน้นการหลอกล่อให้ศัตรูถอยทัพ

ในขณะที่กองทัพโจโฉเริ่มลังเลและสั่งถอยทัพออกไปเพราะความระแวง จูล่งก็สั่งให้ทหารทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามทันที ตีกลองอย่างดังสนั่นหวั่นไหว ราวกับฟ้าร้อง พร้อมกับระดมยิงธนูใส่ข้าศึกที่กำลังตื่นตระหนก

ผลที่ตามมาคือความโกลาหลอย่างรุนแรงในกองทัพโจโฉ ทหารวุยตกใจและตื่นตระหนกอย่างหนัก เกิดการเหยียบกันเอง และทหารจำนวนมากจมน้ำในแม่น้ำฮั่นสุ่ยที่อยู่ใกล้เคียง ชัยชนะครั้งนี้ยิ่งใหญ่มากจนเล่าปี่ต้องมาตรวจสอบค่ายของจูล่งในวันรุ่งขึ้น และยกย่องจูล่งว่าเป็น "ขุนพลผู้กล้าหาญดุจพยัคฆ์

ถอยทัพ 30 ลี้ จุดจบของยุทธการที่เหนื่อยล้า

แม้เรื่องเล่าจะระบุว่าโจโฉถอยทัพเพราะทนการก่อกวนไม่ได้และสั่งถอยไป 30 ลี้ เพื่อพักผ่อน แต่ความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าการถอนทัพครั้งใหญ่จากฮั่นจงในเวลาต่อมานั้นเป็นผลรวมของวิกฤตหลายอย่าง

ไม่ว่าจะเป็นปัญหาโลจิสติกส์: อุปสรรคหลักของโจโฉคือการส่งกำลังบำรุงให้กับกองทัพขนาดใหญ่ผ่านเส้นทางภูเขาฉินหลิงที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก ทำให้เสบียงขาดแคลนและกำลังพลเหนื่อยล้า

ความเสียหายเชิงยุทธศาสตร์: การเสียแฮหัวเอี๋ยน ทำให้ขวัญกำลังใจของทัพวุยตกต่ำลงอย่างหนัก

การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์: โจโฉสรุปว่าการพยายามยึดฮั่นจงคืนนั้น "ไม่คุ้มค่ากับความพยายาม" และในที่สุดเขาก็สั่งถอนกำลังทั้งหมดออกจากฮั่นจงในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 219

ดังนั้น การกระทำของจูล่งที่แม่น้ำฮั่นสุ่ยจึงไม่ใช่สาเหตุหลักของการถอยทัพ แต่เป็น จุดเร่ง ที่ทำให้โจโฉตัดสินใจถอนกำลังทั้งหมด 

เมื่อกองทัพสูญเสียขวัญกำลังใจจากความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์และปัญหาเสบียง การพ่ายแพ้ทางจิตวิทยา (การถูกสร้างความตื่นตระหนกและสูญเสียกำลังพลที่แม่น้ำฮั่นสุ่ย) ก็เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ผู้บัญชาการต้องยอมแพ้ต่อแรงกดดันทั้งหมดที่สะสมมา

สำหรับระยะทางที่โจโฉสั่งถอยทัพ 30 ลี้ นั้น ในสมัยฮั่นตะวันออก (Eastern Han) 1 ลี้ มีค่าประมาณ 414 ถึง 500 เมตร (เนื่องจาก 1 ลี้ เท่ากับ 300 บุ๋น หรือประมาณ 1,500 ชิ และ 1 ชิ มีความยาวประมาณ 23.75-24.2 ซม.)

สงครามจิตวิทยาจากกลองโบราณสู่การรบสมัยใหม่

ยุทธวิธีที่จูล่งใช้สะท้อนให้เห็นว่าเสียงเป็นเครื่องมือสงครามจิตวิทยาที่ถูกใช้มาตั้งแต่ยุคโบราณ ในวัฒนธรรมจีนโบราณ กลองรบมีความสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมการเคลื่อนทัพ (สัญญาณโจมตีหรือถอย) และเป็นอาวุธทางจิตวิทยาที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับข้าศึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การตีกลองที่ดังสนั่นสามารถสร้างความกลัวและความสับสนได้ในวงกว้าง (คล้ายกับเสียงกลองของชาวพาร์เธียนในตะวันออกกลาง) นอกจากนี้ เสียงดังและการแสดงออกถึงความแข็งกร้าวในการรบ (เช่น การโห่ร้อง) ยังช่วยเสริมสร้างขวัญกำลังใจให้กับฝ่ายตนเองและบั่นทอนขวัญกำลังใจของข้าศึกอีกด้วย

การทำลายขวัญด้วยการอดนอน

สิ่งที่ร้ายกาจยิ่งกว่าเสียงกลองที่ดังสนั่นคือยุทธวิธีที่เรียกกันในสมัยใหม่ว่า "การก่อกวนและยับยั้ง" ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เน้นการยิงหรือการสร้างเสียงรบกวนในช่วงกลางคืน เพื่อไม่ให้ศัตรูได้นอน

การอดนอนและการที่ต้องอยู่ในสภาวะตื่นตัวตลอดเวลาเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความเครียดทางสรีรวิทยาและจิตวิทยาอย่างรุนแรง

การก่อกวนเช่นนี้ทำให้ประสิทธิภาพในการรบของกองกำลังลดลงอย่างมาก ในสงครามโลกครั้งที่ 1 หรือสงครามเวียดนาม การยิงก่อกวนแบบสุ่มในช่วงกลางคืนเป็นประจำมีเป้าหมายเพื่อทำลายขวัญกำลังใจของศัตรู และอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิต เช่น สภาวะ "Shell Shock" ได้

ความจริงที่ว่ากลยุทธ์ก่อกวนด้วยเสียงและทำลายการพักผ่อนได้ผลในคริสต์ศตวรรษที่ 3 (ต่อกองทัพโจโฉ) และยังคงใช้ได้ผลในศตวรรษที่ 20 ไปจนถึงยุคปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงช่องโหว่พื้นฐานทางจิตวิทยาของมนุษย์ที่อยู่เหนือกาลเวลา

แม้เรื่องราวที่เล่าขานกันมาตั้งแต่โบราณจะยกย่องขงเบ้งว่าเป็นผู้วางแผนกลยุทธ์เสียงกลองที่แม่น้ำฮั่นสุ่ย แต่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ระบุอย่างชัดเจนว่าขุนพลผู้ที่ใช้ยุทธวิธี "เสียงกลองสายฟ้า" นี้คือ จูล่ง 

ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องจิตวิทยาของศัตรู โดยการเปลี่ยนจากความเงียบงันไปสู่ความดังสนั่นในเวลาที่แม่นยำที่สุดเพื่อสร้าง Shock Effect

ความสำเร็จของจูล่งเป็นเพียงชนวนสุดท้ายที่เร่งให้โจโฉต้องถอยทัพ การถอนกำลัง 30 ลี้ (ประมาณ 12.4 – 15 กิโลเมตร) และการถอยทัพออกจากฮั่นจงในที่สุดไม่ได้เกิดจากเสียงกลองเพียงอย่างเดียว 

แต่เป็นเพราะยุทธศาสตร์โดยรวมของเล่าปี่ได้ทำลายขีดความสามารถด้านโลจิสติกส์และขวัญกำลังใจของทัพวุยอย่างย่อยยับไปก่อนแล้ว จูล่งเพียงแค่ใช้กลยุทธ์เชิงจิตวิทยาที่ชาญฉลาดเพื่อซ้ำเติมศัตรูที่กำลังแตกหักอยู่แล้ว

เรื่องราวในสามก๊กจึงไม่ใช่เป็นเพียงตำนานที่ให้ความบันเทิงเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนเชิงกลยุทธ์ที่ลึกซึ้ง การก่อกวนทางจิตวิทยาโดยใช้เสียงและการทำลายการพักผ่อนเป็นยุทธวิธีที่เก่าแก่และยังคงมีประสิทธิภาพอย่างน่าทึ่งในยุคปัจจุบัน 

การทำความเข้าใจความขัดแย้งในทุกยุคสมัยจำเป็นต้องมองข้ามอาวุธและเทคโนโลยีไปสู่การวิเคราะห์ "ขวัญกำลังใจ" และ "ความเหนื่อยล้า" ของมนุษย์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ผู้บัญชาการสมัยใหม่ยังคงต้องเผชิญเฉกเช่นเดียวกับโจโฉเมื่อ 1,800 ปีก่อน

อ้างอิง

ITSS / Antony / 26Reads / Scribd / China / RG / Protal / RM / Lare / Quora / Opta / IRR / People / ADC /

related