
SHORT CUT
อดีต รมต. ปชป. วิฑูรย์ นามบุตร ถูกจำคุก 3 ปี คดีเรียกรับเงิน 30 ล้าน ซ้ำถูกชี้มูลรวยผิดปกติ 58.9 ล้าน กรรมนี้ซัดแนวคิด "ประชาธิปไตยสุจริต" ของพรรคจนต้อง ฉีกโปสเตอร์ทิ้ง
ข่าวการตัดสินคดีทุจริตของอดีตนักการเมืองคนสำคัญ ได้กลายเป็น "กรรม" ทางการเมืองอีกระลอกที่เข้าซัดใส่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำพิพากษาตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 โดยสั่งจำคุก นายวิฑูรย์ นามบุตร อดีตรัฐมนตรีและอดีต สส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ เป็นเวลา 3 ปี ในข้อหาเรียกรับเงิน 30 ล้านบาท เพื่อแลกกับโครงการรับเหมา
แม้คำพิพากษาจะมีมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมแล้ว แต่ข่าวเพิ่งถูกนำมารายงานโดยสำนักข่าวอิศรา ในประเด็นนี้ ประทีป คงสิบ หรือ เอี่ยว อดีตผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี ได้ออกมาแสดงความเห็นผ่าน Facebook โดยระบุว่า น่าแปลกใจที่ 'จมูกข่าว' (Nose for News) ของสื่อได้กลิ่นช้า และมีเพียงไม่กี่สำนักที่รายงาน เขาได้กล่าวชื่นชมการทำหน้าที่ของสำนักข่าวอิศราไว้ ณ ที่นี้ นายประทีปกล่าวว่า ข่าวนี้ถือเป็น "กรรม" ทางการเมืองที่ซัดต้อนรับพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงที่เพิ่งมีการ "ยกเครื่องเซียงกง" และดึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้ง
นายวิฑูรย์ นามบุตร เป็นอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และเคยเป็น สส.บัญชีรายชื่อของพรรค รวมถึงกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ถึง พ.ศ. 2557
ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ให้ลงโทษจำคุกนายวิฑูรย์เป็นเวลา 3 ปี สืบเนื่องจากพฤติการณ์ที่เขาได้เรียกรับเงินจากผู้เสียหายจำนวน 30 ล้านบาท โดยอ้างว่า ในฐานะ สส.อุบลราชธานีและกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 นั้น ตนเองสามารถวิ่งเต้นผลักดันจัดสรรงบประมาณโครงการก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคของหน่วยงานรัฐ ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของตนเองได้ โดยจะแบ่งงานโครงการก่อสร้างในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ให้กับผู้เสียหาย
ผู้เสียหายได้จ่ายเงินเพื่อร่วมลงทุนและเป็นค่าใช้จ่ายหลายครั้ง ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2556 ถึงเดือนพฤษภาคม 2557 รวมเป็นเงิน 29.6 ล้านบาท การกระทำนี้ถือเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น และเป็นการกระทำโดยทุจริต ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนายวิฑูรย์กับพวกเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2565 ในกรณีดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาฯ ให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 2-5 ซึ่งเป็นเครือญาตินายวิฑูรย์ ในฐานความผิดสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐทุจริต เนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานที่แน่ชัด
คดีร่ำรวยผิดปกติ 58.9 ล้านบาท
นอกจากคดีเรียกรับเงิน 30 ล้านบาทที่ถูกตัดสินจำคุกแล้ว นายวิฑูรย์ นามบุตร ยังมีอีกคดีที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลในข้อหา ร่ำรวยผิดปกติ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 โดยเป็นการร่ำรวยผิดปกติในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง สส. ในปี 2554 รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 58,900,000 บาท
1. เงินที่ใช้สร้างโรงเรือน 1 หลัง จำนวน 15,000,000 บาท
2. เงินที่มอบให้นางสาวสุคนธ์ธา หอมจันทร์ (อดีตภรรยานอกสมรส) เพื่อชำระค่าซื้อบ้าน จำนวน 14,300,000 บาท
3. เงินที่ได้รับมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ จำนวน 29,600,000 บาท
เบื้องต้น ป.ป.ช. เห็นควรให้ส่งสำนวนไต่สวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ เพื่อขอให้ศาลสั่งยึดทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินต่อไป แต่ล่าสุดศาลยังไม่มีคำพิพากษาในคดีร่ำรวยผิดปกติ 58.9 ล้านบาทนี้
ผลกระทบทางการเมืองต่อพรรคประชาธิปัตย์
ประทีป คงสิบ ได้แสดงความเห็นว่า ข่าวการจำคุกอดีตรัฐมนตรีในยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ (ซึ่งเป็นรัฐมนตรีในสมัยที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ) ถือเป็น "กรรม" ทางการเมือง ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อแคมเปญการเลือกตั้งในปี 2569
1. จุดยืนเสรีประชาธิปไตย: ถูกท้าทายจากเหตุการณ์ในอดีต เช่น กรณีเมษายน-พฤษภาคม 2553, การบอยคอตเลือกตั้ง, การเข้าร่วมเป่านกหวีด กปปส. และการเรียกร้องนายกฯ มาตรา 7
2. ภาพลักษณ์ "ไม่ซื้อเสียง": ไม่สามารถนำมาคุยเขื่องได้ เนื่องจาก สส. บางคนในอดีตก็เคยถูกให้ใบแดงด้วยข้อหาซื้อเสียงมาแล้ว
3. "ประชาธิปไตยสุจริต": แนวคิดที่พรรคอาจจะชู เช่น ในยุคของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ต้องถูก "พับป้ายและฉีกโปสเตอร์ทิ้ง" ได้เลย เมื่อเจอข่าวการจำคุกอดีตรัฐมนตรี เนื่องจากจะทำให้อับอายชาวบ้าน
คำพิพากษาจำคุกนายวิฑูรย์ นามบุตร ในคดีทุจริตเรียกรับเงิน 30 ล้านบาท ยิ่งตอกย้ำความท้าทายที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังเผชิญอยู่ในการกอบกู้ศรัทธาทางการเมือง แม้ว่านายอภิสิทธิ์จะกลับมาเป็นหัวหน้าพรรค แต่ตามการวิเคราะห์ โอกาสที่นายอภิสิทธิ์จะพาพรรค ("เลสเตอร์ซิตี้") กลับขึ้นสู่พรีเมียร์ลีก อาจไม่เกินความสามารถ แต่อันดับที่ดีที่สุดของพรรคหลังการเลื่อนชั้นน่าจะอยู่ท้ายตาราง โดยมีโอกาสได้ สส. ไม่เกิน 20 ที่นั่ง ส่วนความหวังที่จะได้อยู่กลางตาราง (30 ที่นั่งขึ้นไป) อาจจะต้องรอไปอีกหลายสมัย คดีความและข้อกล่าวหาเรื่องความไม่สุจริตนี้จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนความน่าเชื่อถือของพรรค และทำให้การกำหนดจุดขายเพื่อเรียกคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า (ปี 2569) เป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่ง
อ้างอิง