
SHORT CUT
Defense & Security 2025 เวทีกลาโหมที่อาเซียนมองหาเทคโนโลยีอิสระ ระบบที่พิสูจน์แล้วในสนามรบ M777, Gripen E, และอาวุธไร้คนขับจาก UAE สะท้อนความต้องการความความคล่องตัว
งาน Defense & Security 2025 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10–13 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี กรุงเทพฯ ไม่ได้เป็นเพียงการรวมตัวของบริษัทอาวุธเท่านั้น แต่เป็นเวทีสำคัญที่เรียกว่า "Tri Service Asian Defense & Security Exhibition" ซึ่งถือเป็นจุดนัดพบที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้กำหนดนโยบาย ผู้นำทางธุรกิจ และผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ
หัวใจหลักของงานนี้คือการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีภายใต้แนวคิดหลักที่ว่ “Strengthening Indo-Pacific security through advanced technology” ซึ่งสอดคล้องกับความจำเป็นของชาติในอาเซียนที่จะต้องยกระดับขีดความสามารถในการป้องกันตนเอง ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดของมหาอำนาจระดับโลก
งานแสดงอาวุธครั้งนี้จึงเป็นเสมือนกระจกสะท้อนภาพความขัดแย้งในปัจจุบัน ตั้งแต่สงครามรัสเซีย-ยูเครน ไปจนถึงภัยคุกคามแห่งอนาคต เช่น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI), ยานยนต์ไร้คนขับ, และสงครามไซเบอร์ พื้นที่จัดแสดงเผยให้เห็นถึงห้าแนวโน้มหลักที่กำหนดกลยุทธ์การป้องกันประเทศยุคใหม่ นั่นคือความต้องการในเรื่องความแม่นยำสูง (Precision), ความคล่องตัวสูง (Mobility), และการพึ่งพาตนเองได้ในด้านเทคโนโลยี (Autonomy)
การปรากฏตัวของระบบอาวุธที่ผ่านการพิสูจน์ในสนามรบจริง (เช่น M777 คู่ขนานไปกับแพลตฟอร์มไร้คนขับแห่งอนาคต (เช่น UCAVs จาก UAE) และคู่แข่งทางการตลาดทางภูมิรัฐศาสตร์ (จีน vs. สวีเดน) ชี้ให้เห็นว่าผู้ซื้อในภูมิภาคอาเซียนไม่ได้ซื้ออาวุธเพียงเพราะราคาถูกหรือความสัมพันธ์ทางการเมืองอีกต่อไป แต่พวกเขากำลังวิเคราะห์ผลลัพธ์การปฏิบัติงานอย่างเข้มข้น ประเทศต่างๆ กำลังเรียกร้องข้อเสนอที่ดีกว่า ซึ่งไม่เพียงแต่ราคาที่ถูกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการถ่ายโอนเทคโนโลยีและความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงานด้วย
แนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังก้าวข้ามการเป็นผู้รับระบบอาวุธเก่าๆ จากสหรัฐฯ หรือรัสเซีย และมุ่งสู่ความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์ที่มากขึ้น ประเทศเหล่านี้ต้องการระบบที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าใช้งานได้จริง
เป็นระบบที่สามารถบำรุงรักษาและปรับปรุงในท้องถิ่นได้ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานระยะไกลในยามวิกฤต การเปลี่ยนแปลงนี้จึงเป็นเครื่องหมายว่า D&S 2025 กำลังเป็นเวทีสำหรับเทคโนโลยีที่มุ่งเน้นความอยู่รอดและความเป็นเจ้าของทางเทคนิค
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญที่บูธของสหราชอาณาจักร (นำโดย BAE Systems) คือปืนใหญ่ลากจูง M777 ขนาด 155 มม. ซึ่งถึงแม้ผู้ใช้งานจะกล่าวถึง M770 แต่ M777 คือชื่อที่ถูกต้องของปืนใหญ่ลากจูงน้ำหนักเบาที่โด่งดังนี้ จุดขายที่สำคัญที่สุดของปืนใหญ่รุ่นนี้คือการเป็น "lightweight towed howitzer"
ความมหัศจรรย์ของ M777 อยู่ที่วัสดุที่ใช้ ปืนใหญ่นี้มีน้ำหนักเพียง 4.2 ตัน (4.1 long tons)
ซึ่งเบากว่าปืนใหญ่รุ่นเก่า M198 ที่เข้ามาแทนที่ถึง 41% การลดน้ำหนักนี้ทำได้โดยการใช้ ไทเทเนียม ในการสร้างโครงสร้างหลักและส่วนประกอบการหดตัว ส่วนประกอบสำคัญของ M777 ยังคงผลิตในสหราชอาณาจักร ที่ Barrow-in-Furness และมีการประกอบขั้นสุดท้ายที่สหรัฐฯ
การที่ M777 มีน้ำหนักเบาเป็นปัจจัยสำคัญในยุทธวิธีการรบสมัยใหม่ มันสามารถขนส่งโดยเฮลิคอปเตอร์แบบ Sling-load หรือสามารถบรรทุกได้ถึงสองกระบอกต่อเครื่องบินลำเลียง C-130 หนึ่งเที่ยวบิน
ซึ่งเป็นความสามารถที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับปืนใหญ่ขนาด 155 มม. ที่สำคัญกว่านั้นคือความเร็วในการปฏิบัติงาน M777A2 ใช้เวลาในการตั้งปืนเพียง 2 นาที 10 วินาที และใช้เวลาในการถอนกำลัง (displacement) เพียง 2 นาที 23 วินาที ซึ่งเร็วกว่า M198 ที่ใช้เวลาถอนกำลังถึง 10 นาที 40 วินาทีอย่างมาก
ความเร็วนี้เองคือหัวใจของหลักนิยมปืนใหญ่สมัยใหม่ที่เน้น ความคล่องตัวและความแม่นยำ เหนือสิ่งอื่นใด M777 กลายเป็นสัญลักษณ์ของความยืดหยุ่นในสมรภูมิยูเครน
โดยกองทัพสหรัฐฯ แคนาดา และออสเตรเลีย ได้จัดส่งปืนรุ่นนี้ให้กับยูเครนรวมกันอย่างน้อย 142 กระบอก
แม้ว่าความแม่นยำจะสูง แต่ความเปราะบางต่อการยิงตอบโต้ยังคงเป็นปัญหา ซึ่งเน้นย้ำว่าการที่ M777 มีน้ำหนักเบาและสามารถ "ยิงแล้วรีบเคลื่อนย้าย" (Shoot and Scoot) ได้อย่างรวดเร็ว คือกลยุทธ์ป้องกันตัวเองที่สำคัญที่สุดในการตอบโต้การยิงปืนใหญ่และการโจมตีด้วยโดรนของข้าศึก
บูธของ Saab จากสวีเดนจัดแสดงเครื่องบินขับไล่ Gripen E ซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่เจเนอเรชัน 4.5 ที่ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจนเกือบจะเทียบเท่าเครื่องบินรุ่นใหม่ทั้งหมด
Gripen E ได้รับการออกแบบมาเพื่อมอบความพร้อมรบสูงสุด (Maximum Force Readiness) และความได้เปรียบด้านข้อมูลที่เด็ดขาด (Decisive Information Advantage) โดยมีความสามารถที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการรบทางอากาศยุคใหม่
โดย Gripen E ติดตั้งเรดาร์ AESA และระบบติดตามอินฟราเรด (IRST) ซึ่งสามารถสร้างภาพรวมของสนามรบได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะระบบ IRST ช่วยให้เครื่องบินสามารถตรวจจับเป้าหมายได้โดยไม่ต้องเปิดเรดาร์หลัก ซึ่งช่วยหลีกเลี่ยงการถูกตรวจจับได้ง่ายแบบที่เกิดกับเรดาร์กำลังสูงของเครื่องบินรบรุ่นเก่า
มีระบบ EW ขั้นสูงของ Gripen ทำหน้าที่เป็น "เกราะป้องกันอิเล็กทรอนิกส์" ที่สามารถรบกวนความสามารถในการทำงานของศัตรู ทำให้มันมีโอกาสรอดสูงในน่านฟ้าที่มีการต่อต้าน
จุดเด่นที่สุดคือระบบ Avionics ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ซึ่งช่วยให้สามารถอัปเกรดซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ทำให้เครื่องบินสามารถเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับภัยคุกคามใหม่ ๆ ได้ระหว่างวันแรกและวันที่สองของความขัดแย้ง
Gripen เป็นเครื่องบินรบที่กองทัพอากาศไทย (RTAF) ให้ความไว้วางใจอยู่แล้ว การเลือก Gripen E/F เหนือคู่แข่งจากสหรัฐฯ เช่น F-16 Block 70/72 (หรือแม้แต่ F-35) แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ชัดเจนในการจัดซื้อจัดจ้างของอาเซียน
นั่นคือการแสวงหาความเป็นอิสระทางทหาร Saab ไม่ได้ชนะแค่ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่ยังชนะด้วยการเสนอผลตอบแทนการลงทุนที่เกินมูลค่าสัญญาผ่านการ ถ่ายโอนเทคโนโลยี และความสามารถในการบำรุงรักษาในท้องถิ่น (Localized Maintenance)
นี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศที่มีงบประมาณจำกัดและต้องการการพึ่งพาตนเองทางการทหารเลือก Gripen E/F โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Gripen ได้รับการออกแบบมาสำหรับการปฏิบัติการแบบกระจายตัวจากฐานทัพถนนหรือสนามบินที่ไม่ได้รับการเตรียมการ
ซึ่งสอดคล้องกับความจำเป็นทางยุทธศาสตร์ของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ต้องการลดความเสี่ยงจากการโจมตีฐานทัพอากาศหลัก การเลือกนี้สะท้อนความต้องการของภูมิภาคที่ต้องการลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานของตะวันตกที่มักจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญ
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) กำลังเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ในงาน IDEX ไปสู่การเป็นผู้ขายระดับโลกอย่างแข็งขันผ่านกลุ่มบริษัท EDGE Group พวกเขามุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมอย่างรวดเร็ว โดยมีกลุ่มธุรกิจ Missiles & Weapons ที่เชี่ยวชาญในด้านขีปนาวุธนำวิถีความแม่นยำสูง (Precision Guided Missiles), อาวุธไร้คนขับ (Autonomous Weapons), อาวุธพลังงานนำวิถี (Directed-Energy Weapons), และระบบอาวุธที่ซับซ้อน
บริษัทในเครือ EDGE Group อาทิ AL TARIQ, HALCON, และ ADASI ต่างทำงานเพื่อสร้างนวัตกรรมแห่งอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง AL TARIQ ที่เน้นการแปลงอาวุธทางอากาศที่ไม่มีระบบนำวิถีให้กลายเป็นกระสุนนำวิถีความแม่นยำสูงที่มีพิสัยไกล
การจัดแสดงของ UAE ที่ D&S 2025 เน้นไปที่ระบบขีปนาวุธและระบบอิสระที่ล้ำสมัย โดยมีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจหลายรายการ
ไม่ว่าจะเป็น HALCON SABER Missile ระบบขีปนาวุธนำวิถีที่มีความแม่นยำสูง Advanced UCAVs ยานรบทางอากาศไร้คนขับ เช่น ADASI JENIAH และ SINYAR LAR1/LAR3P หรือ SINYAR LAR1 เป็นแพลตฟอร์มที่มีศักยภาพสูง สามารถบรรทุกอาวุธได้ถึง 450–610 กิโลกรัม บินได้นานถึง 18 ชั่วโมง และสามารถปฏิบัติการจากทางวิ่งสั้นที่ไม่ลาดยางได้
การนำเสนอของ EDGE Group เป็นสัญญาณทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญ แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีป้องกันประเทศขั้นสูงกำลังถูกกระจายอำนาจ และไม่ได้ถูกควบคุมโดยประเทศผู้ส่งออกอาวุธแบบดั้งเดิมอีกต่อไป
บูธของจีนเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงขีดความสามารถที่ครอบคลุม โดยมีการจัดแสดงแพลตฟอร์มเชิงกลยุทธ์ขนาดใหญ่ เช่น เรือรบ และระบบจรวดหลายลำกล้อง (MLRS) ซึ่งเป็นไปตามที่ผู้ใช้งานระบุ โดยสะท้อนถึงการพัฒนากองทัพเรือและขีปนาวุธที่กำลังเร่งตัวขึ้น
ณ ปัจจุบัน จีนส่งออกเรือฟริเกตติดขีปนาวุธนำวิถีรุ่น Type 054A (Jiangkai II class) ซึ่งเป็นเรือที่ทันสมัย ติดตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศ VLS (Vertical Launch System) เรือรุ่นนี้มีต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้ และกำลังมีการส่งออกให้กับประเทศอื่น เช่น ปากีสถาน
จีนยังนำเสนอระบบ MLRS เช่น SR-5/PHL-11 ระบบนี้ติดตั้งบนรถบรรทุกและสามารถยิงจรวดขนาด 122 มม. และ 220 มม. ได้
มีพิสัยทำลายเป้าหมายภาคพื้นดินได้ไกลถึง 70 กิโลเมตร และมีความสามารถในการเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว (สามารถเตรียมพร้อมยิงได้ใน 5 นาที และถอนกำลังหลังยิงใน 1 นาที) เพื่อหลีกเลี่ยงการยิงตอบโต้
การส่งออกอาวุธของจีนมีความแข็งแกร่งอย่างมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (พม่า, กัมพูชา, อินโดนีเซีย, ลาว, มาเลเซีย, ไทย)
เนื่องจากอาวุธของจีนมีราคาถูกกว่าทางเลือกจากตะวันตก และถูกมองว่ามี "ข้อผูกมัดทางการเมืองน้อยกว่า" แม้ว่าในความเป็นจริง จีนจะใช้การขายอาวุธเพื่อขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเข้าถึงซัพพลายเชนก็ตาม
การนำเสนออาวุธจีนยังคงดำเนินไปพร้อมกับการแข่งขันที่ดุเดือดในโครงการจัดซื้อของไทย ตัวอย่างเช่น การแข่งขันระหว่างเกาหลีใต้กับจีนในโครงการเรือฟริเกตของไทย
สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือการที่จีนได้สร้างความร่วมมือทางอุตสาหกรรมกับไทยผ่านระบบปืนใหญ่ระบบ PHL-11 ของจีนที่ไทยใช้งานอยู่มีความสามารถในการยิง จรวด DTI-2 ที่ผลิตโดยสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศของไทยเอง
ความเต็มใจของจีนที่จะอนุญาตให้ลูกค้าใช้ชิ้นส่วนหรือกระสุนที่ผลิตในประเทศบนแพลตฟอร์มที่นำเข้า ถือเป็นจุดขายเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญอย่างยิ่ง การอนุญาตให้มีการบูรณาการในระดับนี้ทำให้จีนสามารถผูกมัดคู่ค้าอาเซียนเข้ากับระบบนิเวศทางเทคนิคของตนในระยะยาว
สิ่งนี้ช่วยเสริมสร้างอิทธิพลของจีนในภูมิภาค โดยการสนับสนุนความพยายามของประเทศในอาเซียนในการบรรลุการพึ่งพาตนเองในด้านการผลิตอาวุธ
บูธ "Lock Perfection" ที่ผู้ใช้งานกล่าวถึงนั้นมีความชัดเจนว่าหมายถึงปืนพกยี่ห้อ Glock (Glock GmbH, ออสเตรีย) ปืนพกแบบกึ่งอัตโนมัติที่มีโครงโพลิเมอร์และระบบยิงแบบเข็มแทงชนวนนี้ ได้รับการยกย่องไปทั่วโลกในด้านความเรียบง่าย ความน่าเชื่อถือ และความง่ายในการใช้งาน Glock 17, 19, และรุ่นอื่นๆ ถูกใช้โดยกองทัพและตำรวจมาตั้งแต่ปี 2525
ปืนพกรุ่นสำคัญที่เจ้าหน้าที่นิยมคือ Glock 19 (G19 ขนาด 9x19 มม.) ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายและหน่วยปฏิบัติการพิเศษทั่วโลกสำหรับขนาดที่พอเหมาะและความจุสูง
นอกจาก Glock แล้ว การจัดแสดงในส่วนนี้ยังอาจมีการนำเสนอคู่แข่งสำคัญในตลาด เช่น CZ P-10 จากสาธารณรัฐเช็ก ซึ่งเป็นปืนพกแบบ Striker-fired ที่รู้จักกันดีในด้านสรีรศาสตร์ขั้นสูง และมีการส่งเสริมการขายภายใต้โครงการสวัสดิการตำรวจของไทย
งาน Defense & Security 2025 ยืนยันถึงการบรรจบกันของสามแนวโน้มสำคัญที่กำลังขับเคลื่อนการจัดซื้อจัดจ้างด้านกลาโหมในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
ขณะที่ Gripen E กำลังได้รับเลือกเพราะพวกเขาสามารถเสนอทางออกที่สมดุลระหว่างเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า (AESA, EW, Modular Avionics) กับการควบคุมทางการเมือง
ประเทศในอาเซียนกำลังพิจารณาระบบที่ช่วยให้พวกเขาหลีกเลี่ยงข้อจำกัดในห่วงโซ่อุปทานของมหาอำนาจดั้งเดิม และสามารถบำรุงรักษาหรืออัพเกรดเองได้ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาอธิปไตยทางกลาโหม
ผู้เล่นด้านอาวุธใหม่อย่างจีนและ UAE กำลังเติมเต็มความต้องการของตลาดด้วยอาวุธที่คุ้มค่า (จีน) และเทคโนโลยีล้ำสมัยที่เข้าถึงง่าย (UAE)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลยุทธ์ของจีนในการส่งเสริมการบูรณาการทางอุตสาหกรรม (เช่น การใช้จรวดไทยกับเครื่องยิงจรวดจีน) เป็นการผูกมัดทางเทคนิคที่แข็งแกร่งกว่าการขายอาวุธราคาถูกเพียงอย่างเดียว
D&S 2025 แสดงให้เห็นว่าประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้กลายเป็นผู้ซื้อที่มีความชาญฉลาด พวกเขากำลังเรียกร้องระบบที่ต้องมีคุณสมบัติหลักสามประการ คือ ได้รับการพิสูจน์ในสนามรบ, มีระบบอิสระที่ล้ำหน้า และสามารถบูรณาการเข้ากับอุตสาหกรรมในท้องถิ่นได้
พวกเขากำลังสร้างสมดุลเชิงยุทธศาสตร์ โดยการเลือกนวัตกรรมที่หลากหลาย เพื่อให้แน่ใจว่าการปรับปรุงการป้องกันประเทศจะเกิดขึ้นได้ ขณะเดียวกันก็รักษาอำนาจในการตัดสินใจไว้ในมือของตนเอง
อ้างอิง
DS2025 / ThaiTCH / Saab / SAD / Dsei / Free / Media / Cisa / Army / Aero / Saab1 / Saab2 / Finland / National / Eurasia / Moet / Edge / MediaCenter / Naval / Rand / CFR / Buiness / Sandboxx / EU / CSFS / Webportal / ST /