svasdssvasds

ก้าวไกล หวด รัฐบาล ใส่ร้ายผู้ชุมนุมกรณีขวางขบวนเสด็จ!

ก้าวไกล หวด รัฐบาล ใส่ร้ายผู้ชุมนุมกรณีขวางขบวนเสด็จ!

นายพิจารณ์ เชาว์พัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิดศึกซัดรัฐบาลเดือด ชี้ข้อมูลมีแต่ความบิดเบือน ให้ร้าย โยนความผิดใส่ผู้ชุมนุม

ก้าวไกล หวด รัฐบาล ใส่ร้ายผู้ชุมนุมกรณีขวางขบวนเสด็จ!

วันนี้ เมื่อช่วง 11.15 น. ที่ผ่านมา นายพิจารณ์ เชาว์พัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ขึ้นกล่าวอภิปรายว่า ญัตติในวันนี้เต็มไปด้วยเนื้อหาที่ไม่นำไปสู่ทางออก มีแต่บิดเบือน กลบเกลื่อนและให้ร้าย โยนความผิดต่อผู้ชุมนุมโดยไม่ได้คำนึงถึงความผิดพลาดของตัวเอง

นายพิจารณ์กล่าวว่า การชุมนุมไม่ได้ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคจากที่ผ่านมาไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อหลังการชุมนุม และความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นได้ นานาประเทศต้องเชื่อมั่นว่าความขัดแย้งในสังคมสงบลง ไม่ใช่ใช้กฎหมายปิดปากประชาชน ความเชื่อมั่นก็จะลดลง ขณะที่การชุมนุมที่ทำเนียบก็มีการประกาศชัดเจนว่าจะยุติการชุมนุมเมื่อไร

นายพิจารณ์กล่าวว่า และที่มีการกล่าวหาว่าผู้ชุมนุมขวางขบวนเสด็จ ทั้งที่รัฐบาลเป็นผู้ถวายการอารักขาความเรียบร้อยในการเสด็จ และผู้ชุมนุมก็หลีเลี่ยงเส้นทางนั้นแล้ว แต่รัฐบาลบกพร่องจนเกิดเรื่อง แสดงว่ารัฐบาลไม่ได้สำนึกถึงความผิดพลาดของตนเอง แต่ไปใส่ร้ายผู้ชุมนุมนำไปสู่คดีความที่มีโทษถึงประหารชีวิต เติมเชื้อไฟในสังคม

 

นายพิจารณ์กล่าวว่า การสลายกาชุมนุมที่แยกปทุมวัน เช่น การฉีดน้ำที่มีสารเคมีใส่ผู้ชุมนุม ก็เป็นการทำเกินกว่าเหตุ ขณะที่นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่ามีการดำเนินการบางเรื่องที่ผู้ชุมนุมของมาแล้ว แต่ตนอยากให้ชี้แจงให้ชัดเจนว่าทำเรื่องไหนแล้วบ้างและความคืบหน้าถึงไหน ไม่ใช่การฟอกขาวตัวเองและปกปิดความผิดในการแก้ปัญหาประเทศ

นายกรัฐมนตรีต้องทำความเข้าใจกับผู้ชุมนุมใหม่ ไม่ใช่ว่าเยาวชนจะมีใครมาชี้นำได้ พวกเขาฉลาดเกินกว่าใครจะชี้นำ ไม่อย่างนั้นค่านิยม 12 ประการที่รัฐบาลยัดใส่ก็คงจะอยู่ตรงนั้น ส่วนมาตรา 9 ใน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อ้างกระทบความมั่นคงของรัฐ ซึ่งต้องไม่ใช่ความมั่นคงของรัฐบาล จะเอามาป้องกันความอยู่รอดของรัฐบาลไม่ได้ UN ก็แสดงท่าทีว่าขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนที่ไทยเป็นภาคีอยู่

นายกรัฐมนตรีต้องหยุดคุกคามประชาชนด้วยกฎหมายพิเศษ ที่ผ่านมาเคยมีการชุมนุมยืดเยื้อยาวนาน ทำลายทรัพย์สินราชการ จนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่สำหรับการชุมนุมนี้ไม่มีถึงขั้นนั้น แล้วจะประกาศให้ถอยคนละก้าว แต่ท่านก้าวเกินมาหลายก้าว ยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่เท่ากับเพิกถอน นายกรัฐมนตรีต้องยกเลิกการดำเนิคดีกับผู้ที่ชุมนุมโดยสงบ

นายกรัฐมนตรีเป็นคนเสพติดอำนาจ สมัยนี้ไม่มีเครื่องมือเหมือนหลังรัฐประหาร พอเกิดโรคระบาดจึงต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน นี่คือพฤติกรรมของผู้นำประเทศที่ลุแก่อำนาจและเสพติดอำนาจโดยแท้ อำนาจตุลาการก็บิดเบี้ยว ตอบสนองความอยุติธรรมในสังคม

 

คำถามของนายกรัฐมนตรีว่าผมผิดอะไร ความแยกแตก ความอดอยากของประชาชนคือคำตอบที่ชัดเจน ความผิดที่ร้ายแรงคือไม่รู้ตัวว่าทำผิด ปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงและจะแก้ไขความผิดพลาด ทำเสียสมดุลการรักษาสุขภาพกับเศรษฐกิจ ใช้อำนาจแทรกแซงองค์กรอิสระจนเสียสมดุล ตนจึงขอเรียกร้องให้เพิกถอน ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ปล่อยตัวและยุติการดำเนินคดีทุกข้อกล่าวหาต่อประชาชนทั้งหมดที่ใช้เสรีภาพในการแสดงออก

ส่วนคำถามที่นายกรัฐมนตรีถามว่า ‘ผมผิดอะไร’ นั้น คำตอบชัดเจนอยู่แล้วว่าความแตกแยก ความยากจน ความสิ้นหวัง ความลำบากของประชาชนในห้วงเวลานี้คือคำตอบ ทางออกของประเทศต้องเริ่มที่นายกรัฐมนตรีต้องยอมรับว่าตัวเองคือต้นตอของปัญหา อย่าปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง

ถึงเวลาที่พรรคร่วมรัฐบาลต้องทบทวนท่าทีนายกรัฐมนตรี หยุดนำความจงรักภักดีมากอดตัวเอง หยุดรักษาไว้ซึ่งอำนาจและปกปิดความผิดความล้มเหลวที่ตัวเองก่อ หยุดสะกดจิตตัวเองว่าไม่ผิดและยอมลาออกเปิดทางให้คนที่เห็นคนเท่าเทียมกันเข้ามาทำงานเพื่อหาทางออกของประเทศที่มีฉันทามติร่วมกัน แก้ไขรัฐธรรมนูญและคืนอำนาจให้ประชาชน

related