SHORT CUT
ไม่ใช่แค่เรื่องการเมือง! การปิดพรมแดนไทย-กัมพูชา อาจนำไปสู่วิกฤตปากท้องและแรงงานที่รุนแรง กระทบทั้งคู่ แม้ฝ่ายหนึ่งอาจเจ็บหนักกว่า
ท่ามกลางกระแสความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่อาจมีคลื่นลมทางการเมืองพัดผ่านเป็นครั้งคราว แต่หากมองให้ลึกลงไปในสายสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา จะพบว่าโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมของทั้งสองชาติได้ถักทอเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง จนอาจกล่าวได้ว่าการ "ตัดสัมพันธ์" ไม่ใช่แค่การยุติความสัมพันธ์ทางการทูต แต่คือการสั่นสะเทือนรากฐานชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนนับล้าน ซึ่งคำถามสำคัญที่ตามมาคือ หากการตัดสินใจนั้นเกิดขึ้นจริง ใครคือผู้ที่ต้องเจ็บหนักที่สุด?
ข้อมูลเชิงลึกได้ฉายภาพความสัมพันธ์ที่ "ไม่สมมาตร" ซึ่งฝ่ายกัมพูชาต้องพึ่งพิงเศรษฐกิจไทยในมิติที่สำคัญอย่างยิ่งยวด โดยในปี 2567 มูลค่าการค้ารวมของสองประเทศอยู่ที่ประมาณ 3.6 แสนล้านบาท แต่กว่า 3.2 แสนล้านบาทนั้น คือมูลค่าการส่งออกจากไทยไปยังกัมพูชา
ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่ากัมพูชาต้องพึ่งพาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันจากไทยเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล, นม, สบู่, ไปจนถึงอาหารสำเร็จรูป
หากมีการปิดพรมแดนเกิดขึ้นจริง ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและรุนแรงที่สุดคือ "วิกฤตปากท้อง" ของประชาชนชาวกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "น้ำมันสำเร็จรูป" ซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของระบบเศรษฐกิจ จะเกิดภาวะขาดแคลนทันที ตามมาด้วยสินค้าจำเป็นอื่นๆ ที่จะส่งผลให้การใช้ชีวิตของประชาชนเป็นไปอย่างยากลำบาก
ในขณะเดียวกัน "วิกฤตชีวิตแรงงาน" ถือเป็นอีกหนึ่งผลกระทบที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ปัจจุบันมีแรงงานชาวกัมพูชาทำงานอยู่ในประเทศไทยมากกว่า 1.2 ล้านคน พวกเขาส่งเงินกลับสู่ครอบครัวในกัมพูชารวมกันปีละเกือบ 1 แสนล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนมหาศาลนี้คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของกัมพูชาทั้งหมด การตัดความสัมพันธ์จึงเปรียบเสมือนการ "ปิดก๊อก" รายได้ที่หล่อเลี้ยงครอบครัวนับล้าน และหากแรงงานทั้งหมดต้องเดินทางกลับประเทศในเวลาเดียวกัน ก็จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาการว่างงานในกัมพูชาให้เข้าสู่ภาวะวิกฤต
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นี้ไม่ได้เป็นการพึ่งพิงข้างเดียวเสมอไป ธุรกิจของไทยเองก็ต้องพึ่งพากัมพูชาในมิติของ "แรงงานและที่ดิน" เพื่อลดต้นทุนการผลิตและรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก โรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น เช่น สิ่งทอและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ได้ย้ายฐานการผลิตเข้าไปในกัมพูชา ขณะที่ภาคเกษตรกรรมของไทยก็มีการทำเกษตรพันธสัญญา (Contract Farming) จ้างเกษตรกรกัมพูชาปลูกพืชเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างมันสำปะหลังและข้าวโพด เพื่อป้อนเข้าสู่โรงงานในฝั่งไทย การตัดความสัมพันธ์จึงไม่ต่างอะไรกับการตัดขาดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่จะสร้างความเสียหายให้กับภาคธุรกิจของไทยเช่นกัน
นอกเหนือจากผลกระทบที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน การตัดสินใจที่รุนแรงยังอาจหมายถึงการ "ปิดประตูสู่อนาคต" ของกัมพูชาเอง โดยเฉพาะโอกาสในการพัฒนาแหล่งพลังงานก๊าซธรรมชาติขนาดมหึมาในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (OCA) ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือกับไทย อาจต้องดับฝันไปอย่างน่าเสียดาย
ทั้งนี้ กัมพูชาพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศถึง 100% โดยมีการนำเข้าไฟฟ้าจากไทยปีละ 566 ล้านเมกะวัตต์ และนำเข้าน้ำมันเฉลี่ยวันละ 6.2 ล้านลิตร 15 การตัดขาดจากไทยย่อมหมายถึงต้นทุนด้านพลังงานที่สูงขึ้น ซึ่งจะซ้ำเติมค่าครองชีพของประชาชนโดยตรง
ท้ายที่สุด ผลกระทบที่ประเมินค่าไม่ได้คือ "ความเชื่อมั่น" ของนักลงทุนต่างชาติ การดำเนินมาตรการที่รุนแรงทางการเมือง จะส่งสัญญาณลบและสร้างความเสี่ยง ทำให้นักลงทุนไม่กล้าเข้ามาลงทุน ซึ่งจะส่งผลเสียต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชาในระยะยาว
บทสรุปของความสัมพันธ์อันซับซ้อนนี้อาจสะท้อนผ่านประโยคที่ว่า "ประเทศเพื่อนบ้านอยู่ติดกัน เรายกแผ่นดินหนีกันไม่ได้"
คำถามสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าใครจะได้ประโยชน์ทางการเมือง แต่อยู่ที่ว่าผลประโยชน์นั้นคุ้มค่ากับราคาที่ประชาชนและอนาคตของประเทศต้องจ่ายหรือไม่
เพราะเมื่อใดที่เราหยุดพึ่งพากัน คนในบ้านของแต่ละฝ่ายก็จะลำบากมากขึ้น และนั่นอาจเป็นราคาที่ไม่คุ้มค่าสำหรับใครเลย