ผบช.ภ.1 วอนประชาชนร่วมมือสกัดกั้นการแพร่ระบาดเชื้อโควิด19

วันนี้ (24 มี.ค. 63) - ที่ห้องประชุมอมรวิวัฒน์ อาคารอเนกประสงค์ ตำรวจภูธรภาค 1 ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เปิดเผยถึงมาตรการในการดูแลเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โรคโควิด-19 ว่า ขณะนี้ได้มีการขอความร่วมมือจากประชาชน ให้รักษาระยะห่างทางสังคม (social distance) โดยให้ใช้ความระมัดระวังดูแลตัวเอง และให้ช่วยกันพยายามอยู่กับบ้าน ให้ใช้หน้ากากป้องกัน และพยายามใช้แอลกอฮอล์

ข่าวโควิด ส่วนประชาชนที่มาสถานีตำรวจ ก็จะต้องมีการตรวจวัดไข้ และยืนห่างกันไม่ต่ำกว่า 1.5 เมตร โดยจะมีที่สำหรับรับแจ้งความที่ห้องพนักงานสอบสวน ซึ่งก็จะต้องรักษาระยะห่างเอาไว้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้จะมีการฝึกเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำนวน 1,000 นาย เกี่ยวกับการผสมน้ำยา โดยเริ่มจาก ตชด. บช.น. และบช.ภ.1 ซึ่งทางบช.ภ.1 จะมีการฝึกในวันที่ 1-3 เม.ย.นี้ เพื่อนำไปขยายต่อช่วยเหลือในการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อ จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหารบก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งมาตรการในการดูแลเรื่องนี้

พล.ต.ท.อำพล เปิดเผยว่า ทั้งนี้ หากสถานการณ์มีความรุนแรง ก็จะมีมาตรการฉุกเฉิน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็จะต้องจัดเตรียมรถสำหรับเคลื่อนย้าย เตรียมคนไว้ให้พร้อม สำหรับไปประชิดคนและมีชุดในการป้องกัน ซึ่งทางตำรวจได้ให้เสนองบประมาณในการจัดซื้อชุด และอุปกรณ์ในการป้องกัน นอกจากนี้ยังจะจัดให้มีการอบรมวิธีการ ร่วมมือกับสาธารณสุข กรมควบคุมโรค และกระทรวงพาณิชย์ ในเรื่องหน้ากากอนามัย โดยให้บูรณาการกำลังร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

“ขอประชาสัมพันธ์ไปถึงพี่น้องประชาชน อย่าคิดว่าไม่มีอะไร ให้คิดว่าตัวเองเป็นไว้ก่อน และจะทำอย่างไรไม่ให้เชื้อกระจายต่อ 14 วันความรุนแรงก็จะลดน้อยลง ให้สมมุติว่าตัวเองเป็น จะทำอย่างไรไม่ให้ตัวเองไปแพร่เชื้อ อย่าไปสมมุติว่า จะติดจากคนอื่น ถ้าเราไม่ไปแพร่เชื้อ ทุกอย่างก็จะจบ” ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค1 กล่าว

พล.ต.ท.อำพล เปิดเผยอีกว่า ทั้งนี้ตำรวจภูธรภาค 1 ได้มีการสั่งกักตัวตำรวจจำนวนกว่า 70 นาย เป็นเวลา 14 วัน ไม่ให้ออกไปไหน สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ให้ระมัดระวัง ถ้าสงสัยก็ให้ใส่ชุดป้องกันเชื้อโรค หากไม่มีก็ให้ใช้ชุดนักมวย ที่เอาไว้สำหรับออกกำลังกายสีเงิน สวมใส่ถุงมือ พันเทปปิดให้มิดชิด นอกจากนี้ที่ผ่านมาตำรวจภูธรภาค 1 ยังได้จับกุมผู้จำหน่ายหน้ากากอนามัยเกินราคา จำนวน 11 ราย ซึ่งมีของกลางเป็นหน้ากากกว่า 3 แสนชิ้น