'นารายา’ อาณาจักรพันล้าน แบรนด์ขวัญใจชาวจีน แก้เกมรับทัวร์ริสซบ

เชื่อว่าสาวๆ หรือพี่ๆวัยทำงาน วัยกลางคนหลายท่านจะต้องรู้จักแบรนด์ ‘นารายา’ เป็นอย่างดี เพราะแบรนด์นี้อยู่กับคนไทยมานานถึง 36 ปีแล้ว จากวันนั้นจนถึงวันนี้นับได้ว่าเป็นสินค้าแบรนด์สัญชาติไทยแท้ และแบรนด์นี้มาได้ไกลมากๆ จากกระเป๋าลายดอกๆในอดีต จวบจนมาถึงยุคปัจจุบันนี้ที่มีกระเป๋าหลากหลายสไตล์ อาจเรียกได้ว่าแทบจะจำเค้าโครงเดิมไม่ได้ เพราะ…ได้มีการปรับให้ทันสมัยตามยุคที่เปลี่ยนไป

จากอดีตที่เคยเป็นแบรนด์ครองใจนักท่องเที่ยวชาวจีนได้อย่างอยู่หมัด ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็มากมาย ไม่ว่าจะเป็นมรสุมโควิด-19 ระบาดหนักทัวร์จีนหายเกลี้ยง ส่วนปัจจุบันก็ยังมาเจอปัญหาทัวร์จีนเที่ยวไทยลดลง จากปัญหาเรื่องความปลอดภัย จึงทำให้ ‘นารายา’ ต้องปรับกลยุทธ์หลายอย่างเพื่อทำให้ธุรกิจไปต่อได้ ทั้งเจาะตลาดใหม่ หรือพึ่งพาตลาดในประเทศ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกโดยรวมจะไม่ค่อยสู้ดีนัก

#SPRiNG มีโอกาสัมภาษณ์พิเศษ 2 ผู้บริหารคนเก่งแห่งอาณาจักร ‘นารายา’ เนื่องในโอกาสเปิดสาขาใหม่ใจกลางไชน่าทาวน์ พร้อมเปิดตัว “น้องนารายา” มาสคอตแห่งแรงบันดาลใจ คุยกับผู้บริหารท่านแรก คือ ‘วาสนา  รุ่งแสนทอง’ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นารายณ์ อินเตอร์เทรด จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายกระเป๋าแบรนด์ “นารายา” เล่าให้ฟังว่า ปีนี้แบรนด์นารายาอายุครบ 36 ปีเต็ม โดยมีแผนที่จะเดินหน้าขยายสาขา และบุกไปทำธุรกิจในต่างประเทศ และตั้งเป้าหมายไว้ว่าเร็วๆนี้นารายาจะสามารถสร้างรายได้ทะลุ 1,000 ล้านบาท ในอีกไม่นานนี้

สำหรับตลอดระยะเวลา 36 ปีที่ผ่านมา นารายา ประสบความสำเร็จได้ด้วยกลยุทธ์การตลาดแบบการตลาดแบบปากต่อปาก (Word-of-Mouth Marketing) และบริษัทไม่ได้ใช้งบประมาณในการโฆษณาหรือมีแผนกการตลาดโดยเฉพาะ ส่วนใหญ่ลูกค้าจะบอกต่อกันถึงคุณภาพของสินค้าและบริการของเราทำให้เกิดการบอกปากต่อปากทั้งในหมู่นักท่องเที่ยวทั่วไป โดยเฉพาะชาวจีนที่มักจะซื้อของร้านเราเมื่อมาเมืองไทย แม้ว่าที่ผ่านมาจะเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 แต่ก็ผ่านพ้นไปแล้ว และยอดขายปลายปี2567ดีกว่าที่คาดไว้ แต่ในช่วง 2 เดือนแรกของปี2568 (กุมภาพันธ์-มีนาคม) ยอดขายกลับลดลงอย่างมาก หลังจากนักท่องเที่ยวจีนเดินทางลดลง

ปัจจุบันนารายามีทั้งหมด 18 สาขา บวกกับสาขาผ้าไหม 1 แห่ง รวมเป็น 19 สาขา ส่วนใหญ่สาขาจะอยู่ในห้างสรรพสินค้า แต่ก็มีสาขาแบบ Standalone อีก 4 สาขา สำหรับแผนการขยายสาขาในปี2568 ตั้งเป้าจะเปิดเพิ่ม 5 สาขา เนื่องจากแนวโน้มในปีที่แล้วดี และคาดการณ์ยอดขายทะลุ 1,000 ล้านบาท สำหรับฐานลูกค้าเดิมที่มีขนาดใหญ่ คือ จีน แม้ว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่นารายา ยังมีฐานลูกค้าชาวญี่ปุ่น และแอร์โฮสเตสจากทุกสายการบิน ซึ่งปัจจุบันแม้ลูกค้าชาวญี่ปุ่นยังคงอยู่ รวมถึงลูกค้าจากเอเชียจากชาติอื่นๆด้วย

อย่างไรก็ตามจากนี้ไปจะเน้นกลยุทธ์การปรับตัวหาตลาดลูกค้าใหม่ หลังลูกค้าจีนโดยรวมจะลดลง แต่ลูกค้าจีนจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ยังคงมีจำนวนมาก รวมถึงกลุ่มลูกค้าใหม่จากเวียดนามและอินโดนีเซียก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้กำลังจะขยายธุรกิจไปต่างประเทศอย่างจริงจังเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าในมาเลเซีย และอินโดนีเซีย และจะเริ่มทำธุรกิจออนไลน์ในเดือนธันวาคมนี้ รวมถึงมีแผนร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการท้องถิ่นในอนาคต ซึ่งจะทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจมากขึ้น โดยมีประเทศอินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และจีนที่เริ่มมีการพูดคุยเรื่องการร่วมลงทุนแล้วจะเป็นการพัฒนาช่องทางออนไลน์เพื่อเข้าถึงลูกค้าโดยตรง

สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการออกแบบจะเน้นผลิตสินค้า Signature เช่น กระเป๋าผ้าคอตตอนพิมพ์ลาย ซึ่งเป็นจุดเด่นมาโดยตลอด และจะมีการขยายไลน์สินค้าผ้าไหม ซึ่งได้เริ่มผลิตกระเป๋า และเสื้อผ้าไหมเพื่อนที่จะสนับสนุนช่างผ้าไหมในประเทศ โดยปัจจุบันกระเป๋าผ้าไหมมีจำหน่าย 5 สาขา

ต่อมาคุยกับ ‘พศิน  ลาทูรัส’  รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นารายณ์ อินเตอร์เทรด จำกัด เขาเล่าว่าผลกระทบจากเศรษฐกิจและสถานการณ์โลก ทำให้ธุรกิจได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ สงคราม และความไม่แน่นอนอื่นๆ เช่น เทรดวอร์ ยันเรื่องความขัดแย้งชายแดนทำให้การขยายตัวต้องชะลอลงและต้องดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังมากขึ้นจากเดิมที่ตั้งใจจะเปิด 3-4 สาขาในปีนี้ปัจจุบันเหลือเพียง สาขาปีนี้

และจะยังคงมีกำลังการผลิตคงเดิมที่ 400,000 ชิ้นต่อเดือน โดยโรงงานในไทยยังคงมีแค่โรงงานเดียว แต่มีแผนที่จะเพิ่มกำลังผลิตจากฝั่งชาวบ้านเพื่อกระจายงานให้ชุมชน ในส่วนของแผนขยายต่างประเทศ ที่อินโดนีเซีย มีแผนขยายโรงงานที่อินโดนีเซียอาจมีล่าช้าไปบ้าง สำหรับกลยุทธ์การตลาดจะเน้นความหลากหลายของสินค้าจากภาพจำเดิมที่เน้น "กระเป๋าลายดอก" ปัจจุบันมีการออกแบบที่ หลากหลายมาก ทั้งกระเป๋าขนาดเล็ก สำหรับใส่เหรียญ ราคาเริ่มต้น 60-70 บาท ไปจนถึงสินค้าราคาสูงสุดที่ยังไม่เกิน 2,000 บาท

อย่างไรก็ตามได้วางกลุ่มเป้าหมายใหม่ นอกเหนือจากกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ซื้อเป็นของฝาก ยังต้องการขยายไปยังกลุ่มที่ซื้อใช้เองมากขึ้น โดยเฉพาะวัยรุ่น ส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น "น้องหมีเนย" ซึ่งเป็นความร่วมมือที่ช่วย ปรับภาพลักษณ์ และมีการวางแผนออกสินค้าใหม่กว่า 90 คอลเลกชั่นต่อปี ชูจุดแข็งของแบรนด์ คือ การเป็นhand-made ผลิตในประเทศไทยคุณภาพดี ไม่ได้นำเข้า โดยวางเป้าหมายการเติบโตที่ 30%

ทั้งหมด คือการพามาอัปเดต ‘อาณาจักนารายา’ ที่อยู่คู่กับคนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติมาแล้วกว่า 36 ปี และการปรับกลยุทธ์ที่มุ่งสู่ตลาดใหม่ในเอเชีย พร้อมขยายสู่ช่องทางออนไลน์ และเตรียมขยับไปลงทุนในต่างประเทศ รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้หลากหลายและทันสมัยขึ้น โดยยังคงให้ความสำคัญกับสินค้าหลักคือกระเป๋าพิมพ์ลายที่เป็นเอกลักษณ์ และร่วมมือกับพาร์ทเนอร์เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

• ‘แป้งโยคี’ ขวัญใจทหารชายแดน ตลาดแป้งสมุนไพรไทย ใหญ่พอสมควร

• รู้จัก หุ่นยนต์ทำพิซซ่า Zume Pizza ทำแป้ง ราดซอส ใส่ท็อปปิ้ง ทำเองทุกขั้นตอน

• ส่องตลาด ‘ผ้าอนามัย’ มูลค่า 1 หมื่นล้าน หลังทหารไทยใช้รบชายแดน