svasdssvasds

NIA เผยปี 65 สตาร์ทอัป-ผู้ประกอบการไทย พุ่งสูงตลาดยานยนต์ไฟฟ้า-พลังงานใหม่

NIA เผยปี 65 สตาร์ทอัป-ผู้ประกอบการไทย พุ่งสูงตลาดยานยนต์ไฟฟ้า-พลังงานใหม่

NIA สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ เร่งปั้นสตาร์ทอัปและผู้ประกอบการนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทยสู่ตลาดโลก หลังปีที่ผ่านมานวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

NIA (สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ) ได้คาดว่าตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในปี 2566 จะมีโอกาสเติบโตสูงขึ้นทั้งส่วนการผลิตรถยนต์และยอดจำหน่าย นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในราคาที่เข้าถึงได้ การพัฒนารูปแบบยานพาหนะ

เช่น ตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า เรือ-รถโดยสารสาธารณะ สถานีชาร์จแบตเตอรี่ไฟฟ้า โฮมชาร์จเจอร์ ฯลฯ 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 

นอกจากนี้ ยังเผยถึงตัวอย่างความสำเร็จของธุรกิจนวัตกรรมที่ได้รับการสนับสนุนจาก NIA นั่นคือ

"MuvMi รถตุ๊กตุ๊กพลังงานไฟฟ้า 100% ที่ให้บริการผู้โดยสารแล้วกว่า 3.7 ล้านคน และมีแผนจำนวนรถอีก 1,000 คัน ซึ่งทั้งหมดมีการใช้งานจริงในเขตเมืองและหัวเมืองท่องเที่ยว 

ซึ่งนายวิเชียร สุขสร้อย รองผู้อำนวยการด้านเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เปิดเผยว่า 

"หลายประเทศทั่วโลกตื่นตัวกับวิกฤตด้านพลังงานและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง จึงส่งผลให้ธุรกิจเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV) เติบโตต่อเนื่องทั้งปริมาณการผลิตและจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด สอดคล้องกับตัวเลขจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าจากกรมขนส่งทางบกที่พบว่า

ตั้งแต่เดือนมกราคม - ตุลาคม 2565 ประเทศไทยมียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้ารวมทั้งหมด 15,423 คัน ซึ่งมากกว่ายอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าย้อนหลังรวม 10 ปี (ปี 2555 - 2564 ที่มีการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าทั้งสิ้น 11,749 คัน

 

"สถิติดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยมีแนวโน้มเติบโตขึ้น โดย NIA คาดว่าในปี 2566 การเติบโตส่วนใหญ่จะมุ่งไปที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคล เนื่องจากนโยบายการส่งเสริมของภาครัฐ มาตรการภาษี ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว รวมถึงในภาคธุรกิจ

เช่น การท่องเที่ยว บริการเดลิเวอรี่อาหาร บริการสาธารณะ ฯลฯ ที่จะนำยานยนต์ไฟฟ้าเข้ามาอำนวยความสะดวกมากขึ้น ซึ่งช่วยให้นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้ามีราคาที่เข้าถึงได้ หรือค่าบริการที่ถูกลง

การพัฒนารูปแบบยานพาหนะไฟฟ้าที่ไม่จำกัดแค่เพียงรถยนต์นั่ง เช่น ตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า เรือ - รถโดยสารสาธารณะ ตลอดจนกลุ่มเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น

สถานีชาร์จแบตเตอรี่ไฟฟ้า โฮมซาร์จเจอร์ การบริหารจัดการการจ่ายกระแสไฟฟ้าของแบตเตอรี่ แอปพลิเคชันบริการรถรับสงที่ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อน"

นายวิเชียร กล่าวเพิ่มเติมว่า จากโอกาสและศักยภาพในการเติบโตของอุตสาหรรมด้านพลังงานสะอาด และกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีที่เกี่ยวเนื่อง NIA จึงได้เลือกให้เป็นสาขาที่อยู่กายใต้โครงการนวัตกรรมแบบมุ่งเป้า (ThematicInnovation) จากทั้งหมด 6 สาขา ได้แก่

1.อาหารมูลค่าสูงสำหรับส่งออก

2.ความมั่นคงทางอาหาร

3.เศรษฐกิจการหมุนเวียนและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

4.พลังงานสะอาด

5.ธุรกิจดิจิทัลที่ใช้เทคโนโลยีด้านปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์และเทคโนโลยีโลกเสมือน หรือ ARI Tech

6.กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีที่เกี่ยวเนื่อง โดยจะสนับสนุนเงินทุนให้เปล่า" วงเงินสูงสุดไม่เกินโครงการละ 5 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งการพัฒนาต้นแบบนวัตกร

นอกจากนี้ NIA ยังพร้อมจะช่วยสร้างโอกาสและเชื่อมโยงนวัตกรรมดังกล่าวไปสูตลาดที่เกี่ยวข้อง เช่น การท่องเที่ยว การคมนาคม อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า การระดมทุน ฯลฯ เพื่อให้เกิดการเดิบโตในระดับที่สูงขึ้นและยั่งยืน ดังเช่น

โครงการสามล้อไฟฟ้าเดลิเวอรี่ (บริษัท บิช เน็กซ์ มอเตอร์ จำกัด บริการรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้ามูฟมี (บริษัท เออร์เบิน โมบิลิตี้ เทค จำกัด) และโครงการเรือไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (ห้างหุ้นส่วนจำกัด นาวาเลียน คอมโพสิท) เป็นต้น ตลอดจนช่วยตอกย้ำภาพลักษณ์ประเทศในฐานะ "ศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์ในภูมิภาค" อีกด้วย

ดร.กฤษดา กฤตยากีรณ กรรมการผู้บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท เออร์เบิน โมบิลิตี้ เทค จำกัด และผู้ก่อตั้งธุรกิจให้บริการรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้ามูฟมี กล่าวว่า

"ปัญหาการจราจรในเมืองใหญ่สามารถแก้ไขได้จากการใช้ขนสงมวลชน นี่คือโจทย์ที่ทำให้มูฟมีได้ผลิตรถตุ๊กตุ๊กขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า 100% ที่มีระบบ IoT เพื่อเชื่อมต่อและควบคุมรถให้มีความปลอดภัยสะดวกสบาย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะไม่มีท่อไอเสียจึงช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เกิดจากการเผาไหม้น้ำมันเครื่องยนต์ หรือ PM 2.5

ปัจจุบันมูฟมี มีรถตุ๊กตุ๊กแบบ EV จำนวนมากกว่า 300 คัน ให้บริการรับ - ส่งผู้โดยสารตามแนวรถไฟฟ้าเข้าซอยหรือไปบริเวณใกล้เคียง ครอบคลุมพื้นที่ 12 ย่านทั่วกรุงเทพ เช่น จุฬาลงกรณ์-สามย่าน, อารีย์-ประดิพัทธ์, รัตนโกสินทร์.สุขุมวิท, พหลโยธิน, บางซื่อ, และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นต้น โดยมีจุดเด่นคือเรียกใช้บริการผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ สามารถ

แชร์เส้นทางร่วมกับคนอื่นได้ด้วยบริการในระบบ Ride Sharing เดินทางไปไหนก็ง่าย ใช้ได้ทุกวัน ราคาย่อมเยาคิดตามระยะทางจริง เริ่มต้นที่ 10 บาท ตลอดระยะเวลา 5 ปี ได้ให้บริการผู้โดยสารแล้วกว่า 3.7 ล้านคน

"มูฟมีเข้าใจดีว่าความได้เปรียบทางธุรกิจในระยะยาวจะเกิดได้ยากหากต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากคนอื่นตลอดไป

มูฟมีจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง ทั้งการออกแบบตัวรถโดยสารที่จดสิทธิบัตรไปแล้ว และการออกแบบจุดชาร์จรถไฟฟ้าโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่สามารถชาร์จไฟฟ้ากระแสตรงจากแผงโซลาร์ตรงเข้ารถ โดยมีสมองกลในรถคอยควบคุมกระแสไฟซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการจดลิขสิทธิ์ เพื่อให้เกิดความได้เปรียบทางธุรกิจอย่างยั่งยืน

ในปี 2566 นี้ มูฟมียังคงพัฒนาต่อไปไม่หยุดนิ่ง ทั้งในแง่บริการและการพัฒนาเทคโนโลยี โดยตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนรถโดยสารเป็น 1,000 คัน พร้อมขยายโชนให้บริการใหม่เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ มากที่สุด

รวมถึงขยายการให้บริการไปยังหัวเมืองหลักๆ เช่น เชียงใหม่ ทั้งในส่วนของการให้บริการแบบ B2C และ B2B ซึ่งการดำเนินงานที่ตั้งไว้จะสำเร็จได้ต้องอาศัยแรงสนับสนุ ทั้งภาครัฐและเอกชนมาช่วยชับเคลื่อนให้กลยุทธ์การขยายด้านบริการมีประสิทธิภาพมากขึ้น"

ที่มา : NIA

related