หัวเว่ย เพิ่มขีดความสามารถ Harmony OS เตรียมทำรถยนต์ไฟฟ้า ปั้น AiTO EV

ไม่ได้จำกัดแค่สินค้าในกลุ่มสมาร์ทโฟนและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อีกแล้ว เมื่อ Huawei ยังคงเดินหน้าร่วมมือกับพาร์ทเนอร์รถยนต์ ปั้นรถยนต์ไฟฟ้า Aito EV ผ่านการใช้ระบบปฏิบัติการณ์ Harmony OS เพิ่มขีดความสามารถให้อุตสาหกรรมยานยนต์

ริชาร์ด หยู ซีอีโอ Smart Car ของหัวเว่ย ได้ขึ้นกล่าวในงานสัมมนา China EV 100 ที่กรุงปักกิ่ง ว่า หัวเว่ย จะร่วมมือกับ Chery Automobile (CHERY.UL), BAIC Motor (1958.HK) และ Anhui Jianghuai Automobile Group (600418.SS) เพื่อพัฒนาและผลิตรถยนต์ไฟฟ้า AiTO เสริมกลยุทธ์ในตลาดเรื่องพลังงานสะอาดในกลุ่มยานยนต์ให้มากขึ้น

ทั้งนี้ หัวเว่ย ยังคงเป็นพาร์ทเนอร์กับ Seres Group ด้านการผลิตรถยนต์เช่นเดิม แต่จะเน้นไปในเรื่องของการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าในรุ่นต่างๆ ออกมาเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น กลุ่ม SUV, ซีดาน รถยนต์อเนกประสงค์ ซึ่งทั้งหมดนี้จะออกมาในแบรนด์เดียวกัน เพื่อเดินหน้ากลยุทธ์กลุ่ม Go Green ให้มากขึ้น

"เราต้องการใช้ทรัพยากรกำลังการผลิตของผู้ผลิตรถยนต์อย่างเต็มที่"

huawei aito

อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติม

ทั้งนี้ Seres ขาย AiTo ไปแล้วกว่า 80,000 คัน โดยใช้ระบบ HarmonyOS ของหัวเว่ยแทนการใช้ระบบปฏิบัติการณ์แอนดรอยด์ และในปี 2565 ก็พบว่ามีการใช้ระบบปฏิบัติการณ์ดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 6 เท่า

อีริค ซู ประธานของหัวเว่ย กล่าวในงานแถลงกลยุทธ์ของบริษัทว่า หัวเว่ย ไม่ได้เป็นผู้ผลิตรถยนต์ด้วยตนเองทั้งหมด แค่เป็นส่วนช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ สามารถสร้างรถยนต์ได้ดีขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หัวเว่ย ยังคงประสบผลกระทบจากปัญหาการส่งออกสินค้าไปยังวอชิงตันหลายต่อหลายครั้ง ด้วยเหตุผลเรื่องความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

แม้หัวเว่ยจะปฏิเสธข้อกล่าวนี้มาโดยตลอด และมาตรการคว่ำบาตรดังกล่าว ยังปิดกั้นไม่ให้หัวเว่ยซื้อส่วนประกอบหลัก รวมถึงไม่อนุญาตให้ใช้งานระบบปฏิบัติการณ์แอนดรอยด์ของ Google ด้วย

ทั้งนี้ มาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อหุ้นของหัวเว่ยและผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลก ให้เลิกใช้เทคโนโลยีการเชื่อมต่อยานยนต์ของหัวเว่ย

ความตึงเครียดนี้ทำให้ผู้บริหารใหญ่ของหัวเว่ยยังคงถูกควบคุมตัวในแคนาดา เป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าพยายามปกปิดข้อมูลในการเชื่อมต่อระหว่างการซื้อขายอุปกรณ์ของหัวเว่ยกับอิหร่าน ซึ่งถือว่าเป็นการฝ่าฝืนมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ

ที่มา : Reuters