SHORT CUT
ทรูเน็ตล่มครั้งใหญ่ 22 พ.ค. สร้างผลกระทบวงกว้าง กสทช. สั่งทรูเร่งแก้ไขและเยียวยา เปิดประเด็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไทย และบทบาท AI ในการป้องกันปัญหาเครือข่าย
#ทรูล่ม สะเทือนทั่วไทย เน็ตล่มครั้งใหญ่ ผู้ใช้เดือดร้อน
เหตุการณ์ระบบเครือข่ายโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ต "ทรู" (True) ล่มอย่างหนักเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 สร้างผลกระทบเป็นวงกว้างต่อผู้ใช้งานจำนวนมากทั่วประเทศ
ปัญหานี้ได้จุดประเด็นคำถามถึงความมั่นคงของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทย และกระตุ้นให้เกิดการพิจารณาถึงบทบาทของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการป้องกันปัญหาลักษณะนี้ในอนาคต
ตั้งแต่เวลาประมาณ 10:00 น. ของวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ผู้ใช้บริการทรูจำนวนมาก ทั้งโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตบางส่วน ประสบปัญหาสัญญาณขัดข้อง ไม่สามารถโทรออก รับสาย หรือใช้งานอินเทอร์เน็ตได้
ส่งผลให้แฮชแท็ก "#ทรูล่ม" พุ่งขึ้นอันดับหนึ่งบนแพลตฟอร์ม X (ทวิตเตอร์) อย่างรวดเร็ว ผู้ใช้งานต่างแสดงความไม่พอใจถึงผลกระทบต่อชีวิตประจำวันและการทำงาน ขณะที่ผู้ใช้บริการดีแทค (Dtac) ซึ่งควบรวมกิจการกับทรูไปเมื่อปี 2566 กลับไม่ได้รับผลกระทบ
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ออกแถลงการณ์ขออภัยเมื่อเวลาประมาณ 11:17 น. โดยระบุว่าปัญหาเกิดกับลูกค้าทรูมูฟ เอช บางราย และทีมวิศวกรกำลังเร่งแก้ไข
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีรายงานว่าสัญญาณเริ่มกลับมาในช่วงบ่าย แต่ผู้ใช้จำนวนมากยังคงแจ้งปัญหาเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความซับซ้อนในการแก้ไขและอาจมีช่องว่างในการสื่อสาร
กสทช. โดยนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการเลขาธิการ และนายสมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ กรรมการ กสทช. ด้านกิจการโทรคมนาคม สั่งการให้ทรูเร่งตรวจสอบ แก้ไข ชี้แจงสาเหตุ
และกำหนดแนวทางการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ พร้อมทั้งออกหนังสือถึง บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (TUC) เตือนถึงการรักษามาตรฐานบริการ และอาจมีมาตรการลงโทษหากเกิดซ้ำ
รายงานเบื้องต้นชี้ว่าสาเหตุมาจาก "ปัญหาที่คอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์" ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับแผนการปรับปรุงฐานข้อมูลลูกค้าของทรูหลังการควบรวมกิจการกับดีแทค โดยทรูก่อนหน้านี้ได้แจ้งแผนรวมฐานข้อมูลต่อ กสทช.
แต่ กสทช. เห็นว่าแผนยังไม่สมบูรณ์และขอให้ปรับปรุง ซึ่งทรูยังไม่ได้นำส่งแผนฉบับแก้ไขกลับมาจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์นี้ การที่ผู้ใช้ดีแทคไม่ได้รับผลกระทบชี้ให้เห็นถึงความท้าทายในการบูรณาการระบบหลังการควบรวม
เศรษฐกิจดิจิทัลไทยคาดว่าจะมีมูลค่า 4.85 ล้านล้านบาทในปี 2568 ด้วยอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต 91.2% การหยุดชะงักของอินเทอร์เน็ตเพียงหนึ่งวันอาจสร้างความเสียหาย GDP ถึง 21 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ไทยจะมีความก้าวหน้าด้านโครงสร้างหลัก
เช่น โครงการ Public Net, เน็ตประชารัฐ และเครือข่ายใยแก้วนำแสงที่ทันสมัย (อันดับ 13 ของโลกด้านความเร็วอินเทอร์เน็ตบ้าน) แต่การบริหารจัดการเครือข่ายส่วนปลายและระบบปฏิบัติการของผู้ให้บริการยังเป็นจุดอ่อน
การเพิ่มการเชื่อมต่อกับชุมสายอินเทอร์เน็ต (IXPs) ที่ปัจจุบันมี 12 แห่ง แต่มีเครือข่ายเชื่อมต่อเพียง 12% จะช่วยเสริมความทนทานได้ นอกจากนี้ เหตุการณ์ยังกระทบความต่อเนื่องทางธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ที่ส่วนใหญ่ยังขาดแผนที่ดีพอ
ท่ามกลางความซับซ้อนของเครือข่ายยุค 5G ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถูกมองว่าเป็นกุญแจสำคัญในการบริหารจัดการเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพ โดยเกือบ 90% ของบริษัทโทรคมนาคมทั่วโลกกำลังใช้ AI ซึ่งช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
กรณีศึกษาจาก Nokia AVA, Verizon, Vodafone, Telefónica, และ AT&T แสดงให้เห็นถึงการลดปัญหาเครือข่ายและค่าใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ใช้ 5G ถึง 45 ล้านรายในปี 2568 ทำให้ AI ยิ่งมีความสำคัญในการรับประกันเสถียรภาพเครือข่าย เหตุการณ์ทรูล่มชี้ให้เห็น "ช่องว่างระหว่างข้อมูลและการดำเนินการ" (Data-Action Gap) ซึ่ง AI สามารถช่วยลดช่องว่างนี้ได้