svasdssvasds

Cloudflare ชี้สถิติใหม่ "AI ฆ่าเว็บไซต์" คนใช้ค้นหาข้อมูลน้อยลง

Cloudflare ชี้สถิติใหม่ "AI ฆ่าเว็บไซต์" คนใช้ค้นหาข้อมูลน้อยลง

Cloudflare ชี้ AI กำลังเอาเปรียบเจ้าของเว็บไซต์ ดึงข้อมูลแต่ไม่ส่งทราฟฟิกกลับ ทำยอดคลิกหายมหาศาล เตรียมเปิดตัวเครื่องมือใหม่เพื่อทวงสิทธิ์ให้ผู้สร้างเนื้อหา

SHORT CUT

  • โมเดล AI ดึงข้อมูลจากเว็บไซต์ไปสรุปให้ผู้ใช้งานโดยตรง ทำให้ทราฟฟิกที่เคยส่งไปยังเว็บต้นทางลดลงอย่างมหาศาล กระทบต่อรายได้และความอยู่รอดของธุรกิจสื่อออนไลน์
  • อัตราส่วนการส่งผู้เข้าชมเทียบกับการเก็บข้อมูลของ AI เลวร้ายลงมาก โดย Anthropic มีอัตราส่วนสูงถึง 60,000:1 (เก็บข้อมูล 60,000 หน้าเว็บ เพื่อให้ได้ 1 คลิก) ชี้ให้เห็นว่าผู้ใช้เชื่อคำตอบจาก AI โดยไม่สนใจแหล่งที่มา
  • Cloudflare กำลังสร้างระบบให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถควบคุมสิทธิ์ในข้อมูลของตนเอง เพื่อป้องกันการดึงข้อมูลโดยพลการ และผลักดันให้เกิดการจ่ายค่าตอบแทนที่ยุติธรรมจากบริษัท AI

Cloudflare ชี้ AI กำลังเอาเปรียบเจ้าของเว็บไซต์ ดึงข้อมูลแต่ไม่ส่งทราฟฟิกกลับ ทำยอดคลิกหายมหาศาล เตรียมเปิดตัวเครื่องมือใหม่เพื่อทวงสิทธิ์ให้ผู้สร้างเนื้อหา

แมทธิว ปรินซ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Cloudflare บริษัทผู้ให้บริการด้านความปลอดภัยและเครือข่ายอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจในงานสัมมนาที่เมืองคานส์ ชี้ว่า

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังสร้าง ภัยคุกคามต่อของเจ้าของเว็บไซต์และผู้ผลิตเนื้อหาทั่วโลก เนื่องจากการดึงข้อมูลไปใช้โดยไม่ส่งผู้ใช้งานกลับไปยังเว็บไซต์ต้นทาง

CREDIT : Anthony Bourgeois on behalf of Axios

ปรินซ์กล่าวว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนหันมาพึ่งพาคำตอบที่สรุปโดย AI มากขึ้น แทนที่จะคลิกเข้าไปอ่านจากแหล่งข้อมูลดั้งเดิม ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อโมเดลธุรกิจของผู้ผลิตเนื้อหาที่พึ่งพารายได้จากโฆษณา ซึ่งนับจากจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์

CREDIT : Yahoo News

Cloudflare ได้เปิดเผยข้อมูลอัตราส่วนระหว่างจำนวนหน้าที่ AI และ Search Engine เข้ามาเก็บข้อมูล (Crawl) ต่อจำนวนคลิกที่ส่งกลับไปยังเว็บไซต์ผู้ผลิตเนื้อหา (Publisher) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายลงอย่างชัดเจน

10 ปีก่อน : Google มีอัตราส่วนอยู่ที่ 2:1 (เก็บข้อมูล 2 หน้าเว็บ ได้ 1 คลิก)

6 เดือนก่อน : Google: 6:1, OpenAI: 250:1, Anthropic: 6,000:1

ปัจจุบัน : Google: 18:1, OpenAI: 1,500:1, Anthropic: 60,000:1

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า แม้แต่ Google ซึ่งเคยเป็นแหล่งส่งทราฟฟิกหลักให้เว็บไซต์ ก็มีประสิทธิภาพลดลงถึง 9 เท่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ขณะที่ AI Chatbot จากค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง OpenAI และ Anthropic แทบจะไม่ส่งทราฟฟิกกลับคืนเลย "ผู้คนไม่ได้คลิกดูเชิงอรรถอีกต่อไป" ปรินซ์กล่าว "พวกเขากำลังเชื่อถือ AI มากขึ้น ซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะไม่อ่านเนื้อหาต้นฉบับของคุณอีกแล้ว"

เพื่อแก้ปัญหานี้ Cloudflare กำลังพัฒนาระบบควบคุมสิทธิ์ในข้อมูล ซึ่งจะเข้ามาช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถป้องกันการดึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต และสร้างกลไกให้บริษัท AI ต้องขออนุญาตและจ่ายค่าตอบแทนที่เหมาะสมสำหรับการนำเนื้อหาไปใช้ฝึกฝนและให้บริการ

"นี่คือขั้นตอนง่าย ๆ ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้านี้ และผู้ผลิตเนื้อหาทุกรายที่คุณเคยได้ยินชื่อต่างก็เห็นด้วยกับแนวทางนี้" ปรินซ์กล่าวทิ้งท้ายด้วยความมั่นใจ

"ทุกวันนี้ผมต้องทำสงครามไซเบอร์กับรัฐบาลจีน รัสเซีย อิหร่าน เกาหลีเหนือ หรือแม้แต่สหรัฐฯ แล้วคุณจะบอกว่าผมหยุดพวกโปรแกรมเมอร์ในซิลิคอนแวลลีย์ไม่ได้งั้นหรือ?"

ปรากฏการณ์ที่แมทธิว ปรินซ์ ได้ออกมาเตือนนั้น ไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือเป็นเพียงทฤษฎีอีกต่อไป แต่กำลังเกิดขึ้นจริงในวงกว้างผ่านฟีเจอร์ล่าสุดของ Google ที่ชื่อว่า "AI Overview"

AI Overview คือการที่ Google นำ AI มาสร้างบทสรุปคำตอบวางไว้บนสุดของหน้าผลการค้นหาโดยตรง เมื่อผู้ใช้พิมพ์คำถาม เช่น "วิธีปลูกต้นมะนาวในกระถาง" AI จะดึงข้อมูลจากหลายๆ เว็บไซต์มาเรียบเรียงเป็นขั้นตอนสั้นๆ ให้ทันที

ผลลัพธ์คือ ผู้ใช้ได้คำตอบที่ต้องการโดยไม่ต้องคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์เกษตรหรือบล็อกเกี่ยวกับการทำสวนเลยแม้แต่ลิงก์เดียว

สิ่งนี้คือตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของ "การฆ่าทราฟฟิก" ที่ Cloudflare กล่าวถึง มันเปลี่ยนบทบาทของ Search Engine จาก "ผู้ชี้ทาง" ไปยังแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุด มาเป็น "ผู้ให้คำตอบสุดท้าย" ที่ใช้เนื้อหาของคนอื่นเป็นเพียงวัตถุดิบ

การที่ทราฟฟิกเว็บไซต์ลดลงอย่างมหาศาลไม่ใช่แค่ปรากฏการณ์ทางเทคนิค แต่เป็นภาพสะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมและจิตวิทยาของผู้คนทั่วโลกในการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้

พฤติกรรมเด่นชัดที่สุดคือ ผู้ใช้ในยุคดิจิทัลมีความอดทนน้อยลงและต้องการ "คำตอบสุดท้าย" ทันที ไม่ใช่ "รายการของแหล่งข้อมูล" ที่ต้องไปค้นคว้าต่อเอง

ในอดีต : การค้นหาคือการเริ่มต้นของการ "วิจัย" ผู้ใช้คาดหวังจะได้รับลิงก์หลายๆ อันเพื่อไปเปรียบเทียบและสังเคราะห์ข้อมูลด้วยตนเอง

ปัจจุบัน : การค้นหาคือการ "ถาม" ผู้ใช้คาดหวังจะได้รับคำตอบที่สมบูรณ์เหมือนคุยกับผู้ช่วยที่ฉลาด AI ตอบสนองความต้องการนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้การคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์กลายเป็นขั้นตอนที่ "ไม่จำเป็น"

โดยสรุปแล้ว ปรากฏการณ์ "AI ฆ่าเว็บไซต์" คือผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่พฤติกรรมของผู้ใช้เปลี่ยนจาก "นักวิจัยเชิงรุก" ที่ดึงข้อมูลจากหลายแหล่ง มาเป็น "ผู้รับข้อมูลเชิงรับ" ที่รอรับคำตอบสำเร็จรูป

ซึ่งเป็นความท้าทายที่ไม่ใช่แค่เรื่องของรายได้เว็บไซต์ แต่ยังรวมถึงวิธีที่สังคมจะเรียนรู้และมีปฏิสัมพันธ์กับความรู้ในอนาคตอีกด้วย

ที่มา : axios

related