เดนมาร์ก จะ "แบนโซเชียลมีเดีย" สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี หวั่น โทรศัพท์มือถือและโซเชียลมีเดียกำลังปล้นช่วงวัยเด็กของลูกหลานเราไป
เดนมาร์ก จะ "แบนโซเชียลมีเดีย" สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี หวั่นเทคโนโลยีกำลัง "ปล้นช่วงวัยเด็ก"
ท่ามกลางกระแสความกังวลที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกเกี่ยวกับผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่อสุขภาพจิตและพัฒนาการของเยาวชน เดนมาร์กได้กลายเป็นประเทศล่าสุดที่จะออกมาตรการที่เข้มงวด เมื่อนายกรัฐมนตรี เมตเต เฟรเดอริกเซน (Mette Frederiksen) ประกาศแผนการที่จะออกกฎหมาย “ห้ามใช้โซเชียลมีเดีย” สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี
“โทรศัพท์มือถือและโซเชียลมีเดียกำลังปล้นช่วงวัยเด็กของลูกหลานเราไป”
เฟรเดอริกเซนกล่าวไว้ตั้งแต่ช่วงต้นเดือน ต.ค. 2025 พร้อมอ้างข้อมูลที่น่าตกใจว่า เด็กชายเดนมาร์กอายุระหว่าง 11–19 ปี ราว 60% เลือกที่จะอยู่บ้านมากกว่าจะออกไปพบปะเพื่อนฝูง สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยโลกดิจิทัล
แม้จะยังไม่มีการระบุรายละเอียดว่ามาตรการนี้จะครอบคลุมแพลตฟอร์มใดบ้าง หรือระบบการบังคับใช้จะดำเนินการอย่างไรในทางปฏิบัติ แต่ร่างกฎหมายดังกล่าวก็ถูกมองว่าเป็นความพยายามครั้งสำคัญในการปกป้องเยาวชน อย่างไรก็ตาม กฎหมายนี้ยังคงมีความยืดหยุ่น โดยจะเปิดทางให้ผู้ปกครองสามารถอนุญาตให้บุตรหลานเริ่มใช้โซเชียลมีเดียได้ตั้งแต่อายุ 13 ปี
การเคลื่อนไหวของเดนมาร์กเป็นไปในทิศทางเดียวกับความพยายามของประเทศอื่นๆ ที่พยายามเข้ามาควบคุมอำนาจของแพลตฟอร์มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่
ออสเตรเลีย ถือเป็นผู้นำสำคัญ โดยในช่วงปลายปี 2024 รัฐสภาได้ผ่านกฎหมายห้ามใช้โซเชียลมีเดียสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ซึ่งครอบคลุมแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Facebook, Snapchat, TikTok และ YouTube
ขณะที่ กรีซ ได้เสนอแนวคิดต่อสหภาพยุโรปในเดือนมิถุนายน เพื่อกำหนด “อายุแห่งความเป็นผู้ใหญ่ทางดิจิทัล” ทั่วทั้งภูมิภาค ซึ่งจะป้องกันไม่ให้เด็กเข้าถึงโซเชียลมีเดียโดยปราศจากความยินยอมจากผู้ปกครอง
[ ความจริงด้านตัวเลข: โลกที่ถูกผูกติดกับมือถือ ]
ความกังวลเหล่านี้เกิดขึ้นในโลกที่โทรศัพท์มือถือไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือ แต่เป็นส่วนขยายของชีวิตมนุษย์ ข้อมูล ณ เดือนตุลาคม 2025 ชี้ให้เห็นถึงการพึ่งพาอุปกรณ์อย่างชัดเจน:
ผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือเฉพาะราย ทั่วโลกมีประมาณ 5.78 พันล้านคน หรือคิดเป็นราว 70.1% ของประชากรโลกทั้งหมด
จำนวนการสมัครใช้งานมือถือ มีมากกว่า 8.5 พันล้านบัญชี ซึ่งสูงกว่าจำนวนประชากรโลกอย่างมาก
ขณะที่ ผู้ใช้สมาร์ตโฟน มีประมาณ 4.88 พันล้านคน คิดเป็นกว่า 60% ของประชากรโลก
นักวิชาการและนักประสาทวิทยาหลายคนเตือนว่า การเข้าถึงโลกออนไลน์ตลอดเวลาส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อสมรรถนะทางสมอง โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนที่สมองยังอยู่ในช่วงพัฒนาการ ซึ่งนำไปสู่ปรากฏการณ์และภาวะต่างๆ
1. สมองรั่วพลัง (Brain Drain) และการลดลงของสมาธิ
เพียงแค่มีสมาร์ตโฟนอยู่ใกล้ตัว ก็ทำให้ความสามารถทางสมองลดลงโดยไม่รู้ตัว นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเท็กซัส ที่ ออสติน พบว่า แม้ผู้เข้าร่วมการทดลองจะปิดเครื่องโทรศัพท์ไว้ แต่สมองก็ยังต้องเผื่อพลังงานบางส่วนไว้เพื่อ “ต่อต้านแรงดึงดูดในการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา” ทำให้ทรัพยากรที่เหลือสำหรับงานตรงหน้าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้เกิด ภาวะสมาธิสั้น และความสามารถในการจดจ่อที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
2. การเสื่อมถอยของทักษะการคิด (Erosion of Cognitive Skills)
การพึ่งพาเทคโนโลยีทำให้ความสามารถทางสมองที่เคยใช้บ่อยๆ ก่อนยุคดิจิทัลเริ่มเสื่อมถอย:
ความจำ (Memory): การที่เราสามารถ “เรียกดู” ข้อมูลได้ง่ายผ่านอุปกรณ์ ทำให้สมองลดการจดจำข้อมูล นำไปสู่ภาวะ “digital amnesia” (ความจำดิจิทัล)
ความจำเชิงพื้นที่: การพึ่งพา GPS อย่างหนักทำให้ความสามารถในการนำทางด้วยตนเองและความจำเชิงพื้นที่ลดลงอย่างชัดเจน งานวิจัยพบว่าผู้ที่ใช้ GPS เป็นประจำมีความจำเชิงพื้นที่ที่แย่ลง ในทางตรงกันข้าม คนขับแท็กซี่ที่ต้องใช้การนำทางด้วยตนเองบ่อยมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคอัลไซเมอร์ต่ำที่สุดในกลุ่มอาชีพ
3. ความกังวลเรื่อง “Digital Dementia”
นักประสาทวิทยา แมนเฟรด สปิตเซอร์ ผู้บัญญัติคำว่า “digital dementia” เตือนว่า การใช้เทคโนโลยีมากเกินไปในกลุ่มวัยรุ่นอาจนำไปสู่ภาวะสมองเสื่อมที่เกิดจากเทคโนโลยี ซึ่งอาจส่งผลให้ความเห็นอกเห็นใจลดลง ระดับความวิตกกังวลสูงขึ้น และมีปัญหาในการใช้ภาษา การเคลื่อนไหว และการรับรู้เชิงพื้นที่
ในขณะที่สมาร์ตโฟนให้ประโยชน์มหาศาล และบางงานวิจัยชี้ว่าการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมสามารถช่วย “ป้องกันการเสื่อมถอย” ของสมองได้ แต่การเคลื่อนไหวของเดนมาร์กก็ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ถึงเวลาแล้วที่ผู้มีอำนาจต้องเข้าแทรกแซง
เมื่อเทคโนโลยีกลายเป็นส่วนขยายของสมองมนุษย์ คำถามที่รัฐบาลทั่วโลกต้องตอบให้ได้คือ: เรากำลังควบคุมเทคโนโลยีอยู่ หรือมันกำลังควบคุมสมองและอนาคตของคนรุ่นต่อไปแทน? การออกกฎหมายที่เข้มงวดของเดนมาร์กอาจเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการทวงคืน "ช่วงวัยเด็ก" ที่ถูกปล้นไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง
ที่มา : channelnewsasia worldhealth
ข่าวที่เกี่ยวข้อง