อังกฤษ ใช้ AI ปราบโกง เรียกเงินภาษีคืน 500 ล้านปอนด์ องค์กรสิทธิฯท้วง ยังขาดการตรวจสอบควบคุม และยังมีเสียงวิจารณ์ว่ารัฐบาลใช้เทคโนโลยีและระบบ AI “โดยขาดการตรวจสอบควบคุม”
รัฐบาลสหราชอาณาจักร ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในการต่อสู้กับการทุจริตคอร์รัปชัน โดยสามารถเรียกคืนเงินภาษีของประชาชนกลับคืนคลังได้เกือบ 500 ล้านปอนด์ (ประมาณ 22,500 ล้านบาท) ภายในปีเดียว อาวุธสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) นี่ไม่ใช่สิ่งที่ไกลเกินจินตนาการอีกต่อไป , โดย AI ที่ว่านี้ ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกงในระบบราชการ
อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังตัวเลขจำนวนเงินมหาศาลที่ Save ได้ - กลับมีเสียงทักท้วงจากองค์กรสิทธิมนุษยชนที่ตั้งคำถามถึงความโปร่งใสและอคติที่อาจแฝงอยู่ในอัลกอริทึม
นี่คือกรณีศึกษาที่น่าสนใจว่าเทคโนโลยีล้ำสมัยจะกลายเป็นต้นแบบให้ทั่วโลกนำไปใช้ หรือจะเป็นบทเรียนราคาแพงเรื่องความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความเป็นธรรม
ปัญหาการทุจริตเงินช่วยเหลือในช่วงการระบาดของโควิด-19 เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ได้สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล โดยเฉพาะโครงการ "Bounce Back Loans" ที่มีช่องโหว่มากมายจนทำให้เงินภาษีรั่วไหลไปกว่า 7 พันล้านปอนด์ (ราวๆ 3 แสนล้านบาท) นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้รัฐบาลต้องหันมาพึ่งพาเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง AI
ทีมวิจัยจากสำนักนายกรัฐมนตรี พัฒนาเครื่องมือ AI ที่ชื่อว่า "Fraud Risk Assessment Accelerator"
การตรวจจับเชิงรุก: เครื่องมือนี้สามารถ "สแกน" นโยบายและโครงการใหม่ๆ ของรัฐบาลเพื่อค้นหา "จุดอ่อน" ที่อาจถูกใช้เป็นช่องทางในการทุจริตได้ตั้งแต่ก่อนที่นโยบายจะถูกบังคับใช้ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและประหยัดงบประมาณได้มหาศาล ผลการทดสอบเบื้องต้นชี้ว่า AI สามารถลดเวลาในการระบุความเสี่ยงได้ถึง 80%
การตรวจสอบเชิงรับ: AI ทำการวิเคราะห์และเปรียบเทียบข้อมูลข้ามหน่วยงานของรัฐอย่างรวดเร็ว เพื่อตรวจจับรูปแบบการฉ้อโกงที่ซับซ้อนซึ่งยากต่อการตรวจสอบโดยมนุษย์ เช่น การสร้างบริษัทปลอมเพื่อขอสินเชื่อแล้วโยกย้ายเงินไปต่างประเทศ
"เรากำลังใช้ AI เพื่อก้าวล้ำหน้าเหล่ามิจฉาชีพไปหนึ่งก้าว" จอช ไซมอนส์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว "เพื่อให้มั่นใจว่าเงินของประชาชนจะถูกนำไปใช้เพื่อบริการสาธารณะ ไม่ใช่เพื่อเติมเงินในกระเป๋าของคนโกง"
แม้ AI จะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันมหาศาล แต่ก็ยังไม่ใช่ยาวิเศษที่ไร้ข้อกังขา กลุ่มสิทธิเสรีภาพพลเมืองและองค์กรอย่างแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ออกมาแสดงความกังวลอย่างต่อเนื่อง โดยชี้ให้เห็นถึงปัญหาสำคัญ นั่นคือ "อคติในอัลกอริทึม" (Algorithmic Bias)
ก่อนหน้านี้ เคยมีการเปิดเผยว่าเครื่องมือ AI ที่กระทรวงแรงงานและเงินบำนาญใช้เพื่อตรวจสอบการฉ้อโกงเงินสวัสดิการ มีแนวโน้มที่จะตั้งธงหรือตรวจสอบบุคคลบางกลุ่มอย่างไม่เป็นธรรม โดยเอกสารของรัฐบาลเองยอมรับว่าพบ "ความแตกต่างของผลลัพธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ" ที่เชื่อมโยงกับ อายุ, ความพิการ, สถานภาพสมรส และสัญชาติ ของบุคคล
ประเด็นนี้ชี้ให้เห็นถึงอันตรายของการใช้ AI โดยขาดการกำกับดูแลที่เข้มแข็ง เพราะหาก AI ถูกฝึกฝนด้วยข้อมูลที่มีอคติแฝงอยู่ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะสะท้อนและขยายอคตินั้นให้รุนแรงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติและละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยที่รัฐบาลอาจไม่รู้ตัว
สิ่งที่เกิดขึ้นในสหราชอาณาจักรกำลังเป็นที่จับตามอง และรัฐบาลมีแผนที่จะอนุญาตให้ประเทศพันธมิตรอย่าง สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ นำเครื่องมือ "Fraud Risk Assessment Accelerator" ไปปรับใช้ นี่คือโอกาสในการยกระดับการต่อต้านการทุจริตในระดับโลก แต่ประเทศที่สนใจจะนำโมเดลนี้ไปใช้ ควรพิจารณาบทเรียนสำคัญ 2 ประการ:
เทคโนโลยีต้องมาพร้อมกับความโปร่งใส การนำ AI มาใช้ในภาครัฐจำเป็นต้องมีกลไกที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ ประชาชนควรมีสิทธิ์ที่จะรู้ว่ารัฐบาลใช้อัลกอริทึมอะไรในการตัดสินใจเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขา และต้องมีช่องทางในการอุทธรณ์หากการตัดสินใจนั้นผิดพลาด
สร้างสมดุลระหว่าง "ประสิทธิภาพ" และ "การกำกับดูแลโดยมนุษย์": แม้ AI จะทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำ แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้าย โดยเฉพาะในกรณีที่ละเอียดอ่อน ควรต้องมีการกำกับดูแลโดยมนุษย์เสมอ (Human Oversight) เพื่อป้องกันความผิดพลาดจากอคติของอัลกอริทึม และรับประกันความเป็นธรรม
สิ่งที่เกิดขึ้นใน UK พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า AI คือเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างยิ่งในการบริหารจัดการภาครัฐ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นกระจกสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายใหม่ๆ ในยุคดิจิทัล ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ได้วัดกันที่ตัวเลขเงินที่เรียกคืนได้เท่านั้น แต่ยังวัดกันที่ความสามารถในการรักษาสมดุลระหว่างการใช้นวัตกรรมเพื่อประโยชน์ส่วนรวม กับการปกป้องสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคน ซึ่งนี่คือบททดสอบที่ทุกประเทศทั่วโลกจะต้องเผชิญในไม่ช้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง