
SHORT CUT
Jeff Bezos กลับมาอีกครั้งในรอบ 4 ปี นั่งแท่น Co-CEO สตาร์ทอัพ AI ‘Project Prometheus’ เงินทุน 6.2 พันล้านเหรียญฯ มุ่งปฏิวัติอุตสาหกรรมหนักด้วย AI
Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon กำลังจะหวนคืนสู่บทบาทผู้บริหารเชิงปฏิบัติการเต็มตัวอีกครั้งในรอบ 4 ปี โดยรับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม (Co-CEO) ของบริษัท AI น้องใหม่ในชื่อ ‘Project Prometheus’ ซึ่งระดมทุนได้แล้วถึง 6.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
การกลับมารับตำแหน่งผู้บริหารครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขาลงจากตำแหน่งซีอีโอของ Amazon ในเดือนกรกฎาคม 2021
Project Prometheus จะมุ่งเน้นไปที่การประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับงานด้านวิศวกรรมและการผลิตในภาคส่วนสำคัญ เช่น คอมพิวเตอร์ การบินและอวกาศ และยานยนต์
โดย Jeff Bezos จะดำรงตำแหน่ง Co-CEO ร่วมกับ Vik Bajaj นักวิจัยชื่อดังจาก Silicon Valley ผู้เคยทำงานร่วมกับ Sergey Brin (ผู้ร่วมก่อตั้ง Google) ที่แล็บทดลอง X และยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Verily หน่วยวิจัยชีววิทยาศาสตร์
Bezos ไม่ได้แค่จ้างคนเก่ง แต่เขาดึง "มันสมอง" ระดับผู้สร้างนวัตกรรม "Moonshot" ของ Google มาเป็นหุ้นส่วน นี่คือการรวมพลังระหว่างวิสัยทัศน์ด้านสเกลของ Amazon และ DNA การวิจัยขั้นสุดของ Google X
จุดที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ แนวทางของ "Project Prometheus" นั้นแตกต่างจากเทรนด์ Generative AI อย่าง ChatGPT อย่างชัดเจน
แทนที่จะพัฒนา AI จากการเรียนรู้ข้อความดิจิทัล Prometheus ตั้งเป้าที่จะพัฒนาระบบที่เรียนรู้จาก "การทดลองในโลกจริง" โดยมีเป้าหมายเพื่อเร่งการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ในสาขาฟิสิกส์ เคมี และวิศวกรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มการใช้ AI และหุ่นยนต์เพื่องานที่ต้องสัมผัสกับโลกกายภาพ
แม้ว่าตลาด AI ในปัจจุบันจะมีการแข่งขันที่ดุเดือดจากยักษ์ใหญ่อย่าง Google, Meta, Microsoft รวมถึงผู้บุกเบิกอย่าง OpenAI และ Anthropic แต่ Project Prometheus ก็ได้รวบรวมพนักงานแล้วเกือบ 100 คน ซึ่งรวมถึงนักวิจัยที่ดึงตัวมาจากแล็บ AI ชั้นนำ
นับตั้งแต่ก้าวลงจากตำแหน่งที่ Amazon มหาเศรษฐีผู้นี้ได้ใช้เวลาไปกับบริษัทอวกาศอย่าง Blue Origin และใช้เวลากับชีวิตส่วนตัว
นอกจากนี้ เขายังมีความเคลื่อนไหวที่ใกล้ชิดกับฝ่ายบริหารของทรัมป์มากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงหน้าบทบรรณาธิการของ Washington Post ซึ่งเขาเป็นเจ้าของ ให้มีทิศทางสนับสนุนภาคธุรกิจมากขึ้น
การที่เขารับตำแหน่ง Co-CEO ใน Prometheus แสดงว่าเขาไม่ได้เป็นแค่นักลงทุนที่ลงเงิน แต่เขาจะลงมา "คุมทัพ" และบริหารจัดการบริษัทนี้ด้วยตัวเองอย่างเต็มตัว นี่แสดงถึงความสำคัญอย่างสูงที่เขามีต่อโปรเจกต์นี้
ที่มา : spacedaily, The New York Times, REUTERS