svasdssvasds

Tomorrow.io ระบบพยากรณ์อากาศ-เตือนภัยระดับ NASA ทางเลือกป้องกันภัยพิบัติไทย

Tomorrow.io ระบบพยากรณ์อากาศ-เตือนภัยระดับ NASA ทางเลือกป้องกันภัยพิบัติไทย

การลงทุนใน Tomorrow.io ระบบดาวเทียมตรวจสอบสภาพอากาศ มาตรฐาน NASA จะเป็นจุดเปลี่ยนจากการ “แก้ปัญหา” หลังเกิดเหตุ เป็นการ “ป้องกัน” ภัยพิบัติของไทยได้อย่างไร?

SHORT CUT

  • กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เตรียมเสนอ ครม. อนุมัติการใช้ระบบ Tomorrow.io ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มพยากรณ์อากาศและเตือนภัยที่ได้รับการยอมรับจาก NASA เพื่อยกระดับการป้องกันภัยพิบัติในไทย
  • Tomorrow.io ใช้เทคโนโลยีดาวเทียม 9 ดวงร่วมกับ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลสภาพอากาศได้แม่นยำสูงแบบเรียลไทม์ สามารถสร้างแบบจำลองและส่งคำเตือนภัยพิบัติได้ทุก 15 นาที
  • เป้าหมายหลักคือการเปลี่ยนการรับมือภัยพิบัติจากเชิงรับเป็นการป้องกันเชิงรุก โดยการแจ้งเตือนล่วงหน้าจะช่วยให้ประชาชนมีเวลาเตรียมตัวและลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน

การลงทุนใน Tomorrow.io ระบบดาวเทียมตรวจสอบสภาพอากาศ มาตรฐาน NASA จะเป็นจุดเปลี่ยนจากการ “แก้ปัญหา” หลังเกิดเหตุ เป็นการ “ป้องกัน” ภัยพิบัติของไทยได้อย่างไร?

เราทุกคนคงเคยรู้สึกแบบนี้ ทุกครั้งที่ฝนตั้งเค้า เราทำได้แค่ “ลุ้น” ว่าน้ำจะท่วมไหม? ลุ้นว่ารถจะติดแค่ไหน? หรือหนักกว่านั้นสำหรับพี่น้องในพื้นที่เสี่ยง คือการลุ้นว่าคืนนี้ “บ้าน” จะยังอยู่ปลอดภัยหรือเปล่า

ความไม่แน่นอนของสภาพอากาศในไทยจากวิกฤตโลกร้อน ไม่ใช่เรื่องตลกอีกต่อไป แต่มันคือ “ต้นทุนชีวิต” ราคาแพงที่เราจ่ายซ้ำซาก ข้อมูลจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในหลายปีที่ผ่านมาสะท้อนชัดเจนว่า ระบบการเตือนภัยแบบเดิมที่ “มาช้าและไม่แม่นยำ” คือรูรั่วขนาดใหญ่ที่ทำให้ความเสียหายบานปลาย

ล่าสุด ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้ออกมาขยับตัวในประเด็นนี้ ด้วยการเตรียมชง ครม. อนุมัติการใช้ระบบของ Tomorrow.io แพลตฟอร์มระดับโลก เพื่อยกระดับการพยากรณ์อากาศไทย เตือนภัยก่อนเกิดภัยพิบัติ นี่จะเป็นจุดเปลี่ยนของการรอดชีวิต หรือแค่การซื้อของเล่นใหม่ของรัฐ 

Tomorrow.io ระบบพยากรณ์อากาศ-เตือนภัยระดับ NASA

Tomorrow.io คืออะไร คุ้มค่าแค่ไหน?

ประเด็นที่น่าสนใจไม่ใช่แค่กระทรวงดีอีจะของบประมาณ แต่คือการเปลี่ยนจากการ "คาดเดา" มาซื้อ “ความแม่นยำ” ของ Tomorrow.io ซึ่งไม่ใช่แอพพยากรณ์อากาศธรรมดา แต่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีภูมิอากาศ (Climate Tech) ที่ได้รับการยอมรับ จากองค์กรระดับโลกอย่าง NASA, U.S. Air Force (กองทัพอากาศสหรัฐฯ) และ Bill & Melinda Gates Foundation

หัวใจสำคัญของเทคโนโลยีนี้คือการเข้าถึงข้อมูลจาก ดาวเทียมรุ่นใหม่ 9 ดวง ที่มีระบบ Microwave Sounder สามารถ “สแกนชั้นบรรยากาศ” ได้ลึกและถี่กว่าระบบทั่วไป ในระดับต่ำกว่า 1 ชั่วโมงต่อรอบ

ในขณะที่ระบบเก่า หากเจอสถานการณ์ภัยพิบัติที่เมฆปกคลุมหนาแน่นอาจทำให้เราตาบอด แต่เทคโนโลยีนี้จะทำให้เราทำรู้ข้อมูลที่ชัดเจนและรวดเร็วเกี่ยวกับพายุ ปริมาณฝน น้ำท่วมฉับพลัน กระแสลม และสภาพอากาศทางทะเล ได้แบบ Real-time มากขึ้น เปลี่ยนจาก “การคาดเดา” มาเป็น “วิทยาศาสตร์ข้อมูล” อย่างแม่นยำขึ้น

Tomorrow.io ระบบพยากรณ์อากาศ-เตือนภัยระดับ NASA ทางเลือกป้องกันภัยพิบัติไทย

AI “แข่งกับเวลา” เตือนล่วงหน้า 15 นาที

จุดอ่อนสำคัญของการจัดการภัยพิบัติในอดีตคือ คือ “ข้อมูลมาช้ากว่าน้ำ” แต่ระบบ Tomorrow.io นี้เคลมว่าสามารถสร้างแบบจำลองสภาพอากาศและส่งรายงานประมวลผลด้วย AI ได้ในทุกๆ 15 นาที

เตือนล่วงหน้า 15 นาทีนี้มีความหมายอย่างไร?

  • สำหรับคนเมือง : 15 นาที คือเวลาที่เพียงพอให้ตัดสินใจว่าจะเลี่ยงเส้นทางจราจร หรือย้ายรถขึ้นจอดที่สูงได้ทัน
  • สำหรับชาวบ้านริมน้ำ : 15 นาที คือช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ที่จะขนย้ายทรัพย์สินสำคัญหนีน้ำท่วมฉับพลัน หรือผู้ป่วยติดเตียงออกจากพื้นที่ก่อนกระแสน้ำจะมาถึง

นี่คือการใช้ AI เพื่อสร้างข้อมูลที่นำไปใช้ได้จริง ไม่ใช่แค่เส้นกราฟที่ชาวบ้านดูไม่รู้เรื่อง แต่คือการแปลข้อมูลอุตุนิยมวิทยาที่ซับซ้อน ให้กลายเป็น “คำเตือนที่ชัดเจน” พร้อมให้หน่วยงานและประชาชนใช้ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว

Tomorrow.io ระบบพยากรณ์อากาศ-เตือนภัยระดับ NASA ทางเลือกป้องกันภัยพิบัติไทย

เปลี่ยนการคาดการณ์ เป็น “หอเตือนภัยแห่งชาติ”

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) มองว่า การลงทุนครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องพยากรณ์อากาศ แต่คือการยกระดับกรมอุตุนิยมวิทยา ให้เป็นหน่วยงาน “ศูนย์กลางเฝ้าระวังภัยพิบัติแห่งชาติ” การมีข้อมูลที่แม่นยำจะนำไปสู่การจัดการโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ โดยเฉพาะ ระบบสื่อสารโทรคมนาคม ที่ต้องวางระบบสำรองฉุกเฉินควบคู่กันไป

เทคโนโลยีดีแค่ไหน ถ้าไม่ถึงพื้นที่ก็ไร้ค่า

การที่ภาครัฐตื่นตัวและพยายามนำเทคโนโลยีระดับ NASA มาใช้ เป็นสัญญาณที่ดี สะท้อนว่ารัฐเริ่มเห็นความสำคัญของการจัดการเชิงพยากรณ์ มากกว่าการตามแก้ปัญหา แต่โจทย์ที่ท้าทายกว่าการอนุมัติงบ คือการ “กระจายข้อมูล” 

ทำอย่างไรให้ข้อมูล AI ที่ประมวลผลทุก 15 นาทีนี้ ไหลลงไปถึงชาวบ้าน, ส่งไปยังสมาร์ทโฟนของคุณป้าในพื้นที่ห่างไกล หรือเสียงตามสายในหมู่บ้านเสี่ยงภัย ได้อย่างรวดเร็วและเข้าใจง่ายที่สุด?

เพราะเทคโนโลยีที่ดีที่สุด ไม่ใช่เทคโนโลยีที่แพงที่สุด แต่คือเทคโนโลยีที่ปกป้องชีวิตคนทุกคน ได้อย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่มีความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึง "ความปลอดภัย"

 

related