
SHORT CUT
การลงทุนใน Tomorrow.io ระบบดาวเทียมตรวจสอบสภาพอากาศ มาตรฐาน NASA จะเป็นจุดเปลี่ยนจากการ “แก้ปัญหา” หลังเกิดเหตุ เป็นการ “ป้องกัน” ภัยพิบัติของไทยได้อย่างไร?
เราทุกคนคงเคยรู้สึกแบบนี้ ทุกครั้งที่ฝนตั้งเค้า เราทำได้แค่ “ลุ้น” ว่าน้ำจะท่วมไหม? ลุ้นว่ารถจะติดแค่ไหน? หรือหนักกว่านั้นสำหรับพี่น้องในพื้นที่เสี่ยง คือการลุ้นว่าคืนนี้ “บ้าน” จะยังอยู่ปลอดภัยหรือเปล่า
ความไม่แน่นอนของสภาพอากาศในไทยจากวิกฤตโลกร้อน ไม่ใช่เรื่องตลกอีกต่อไป แต่มันคือ “ต้นทุนชีวิต” ราคาแพงที่เราจ่ายซ้ำซาก ข้อมูลจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในหลายปีที่ผ่านมาสะท้อนชัดเจนว่า ระบบการเตือนภัยแบบเดิมที่ “มาช้าและไม่แม่นยำ” คือรูรั่วขนาดใหญ่ที่ทำให้ความเสียหายบานปลาย
ล่าสุด ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้ออกมาขยับตัวในประเด็นนี้ ด้วยการเตรียมชง ครม. อนุมัติการใช้ระบบของ Tomorrow.io แพลตฟอร์มระดับโลก เพื่อยกระดับการพยากรณ์อากาศไทย เตือนภัยก่อนเกิดภัยพิบัติ นี่จะเป็นจุดเปลี่ยนของการรอดชีวิต หรือแค่การซื้อของเล่นใหม่ของรัฐ
ประเด็นที่น่าสนใจไม่ใช่แค่กระทรวงดีอีจะของบประมาณ แต่คือการเปลี่ยนจากการ "คาดเดา" มาซื้อ “ความแม่นยำ” ของ Tomorrow.io ซึ่งไม่ใช่แอพพยากรณ์อากาศธรรมดา แต่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีภูมิอากาศ (Climate Tech) ที่ได้รับการยอมรับ จากองค์กรระดับโลกอย่าง NASA, U.S. Air Force (กองทัพอากาศสหรัฐฯ) และ Bill & Melinda Gates Foundation
หัวใจสำคัญของเทคโนโลยีนี้คือการเข้าถึงข้อมูลจาก ดาวเทียมรุ่นใหม่ 9 ดวง ที่มีระบบ Microwave Sounder สามารถ “สแกนชั้นบรรยากาศ” ได้ลึกและถี่กว่าระบบทั่วไป ในระดับต่ำกว่า 1 ชั่วโมงต่อรอบ
ในขณะที่ระบบเก่า หากเจอสถานการณ์ภัยพิบัติที่เมฆปกคลุมหนาแน่นอาจทำให้เราตาบอด แต่เทคโนโลยีนี้จะทำให้เราทำรู้ข้อมูลที่ชัดเจนและรวดเร็วเกี่ยวกับพายุ ปริมาณฝน น้ำท่วมฉับพลัน กระแสลม และสภาพอากาศทางทะเล ได้แบบ Real-time มากขึ้น เปลี่ยนจาก “การคาดเดา” มาเป็น “วิทยาศาสตร์ข้อมูล” อย่างแม่นยำขึ้น
จุดอ่อนสำคัญของการจัดการภัยพิบัติในอดีตคือ คือ “ข้อมูลมาช้ากว่าน้ำ” แต่ระบบ Tomorrow.io นี้เคลมว่าสามารถสร้างแบบจำลองสภาพอากาศและส่งรายงานประมวลผลด้วย AI ได้ในทุกๆ 15 นาที
นี่คือการใช้ AI เพื่อสร้างข้อมูลที่นำไปใช้ได้จริง ไม่ใช่แค่เส้นกราฟที่ชาวบ้านดูไม่รู้เรื่อง แต่คือการแปลข้อมูลอุตุนิยมวิทยาที่ซับซ้อน ให้กลายเป็น “คำเตือนที่ชัดเจน” พร้อมให้หน่วยงานและประชาชนใช้ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) มองว่า การลงทุนครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องพยากรณ์อากาศ แต่คือการยกระดับกรมอุตุนิยมวิทยา ให้เป็นหน่วยงาน “ศูนย์กลางเฝ้าระวังภัยพิบัติแห่งชาติ” การมีข้อมูลที่แม่นยำจะนำไปสู่การจัดการโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ โดยเฉพาะ ระบบสื่อสารโทรคมนาคม ที่ต้องวางระบบสำรองฉุกเฉินควบคู่กันไป
การที่ภาครัฐตื่นตัวและพยายามนำเทคโนโลยีระดับ NASA มาใช้ เป็นสัญญาณที่ดี สะท้อนว่ารัฐเริ่มเห็นความสำคัญของการจัดการเชิงพยากรณ์ มากกว่าการตามแก้ปัญหา แต่โจทย์ที่ท้าทายกว่าการอนุมัติงบ คือการ “กระจายข้อมูล”
ทำอย่างไรให้ข้อมูล AI ที่ประมวลผลทุก 15 นาทีนี้ ไหลลงไปถึงชาวบ้าน, ส่งไปยังสมาร์ทโฟนของคุณป้าในพื้นที่ห่างไกล หรือเสียงตามสายในหมู่บ้านเสี่ยงภัย ได้อย่างรวดเร็วและเข้าใจง่ายที่สุด?
เพราะเทคโนโลยีที่ดีที่สุด ไม่ใช่เทคโนโลยีที่แพงที่สุด แต่คือเทคโนโลยีที่ปกป้องชีวิตคนทุกคน ได้อย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่มีความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึง "ความปลอดภัย"