svasdssvasds

แจงรายละเอียด! น้ำนมดิบขาดตลาด ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร?

แจงรายละเอียด! น้ำนมดิบขาดตลาด ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร?

จากกรณีที่มีข่าวแผยแพร่ในโลกโซเชียล เกี่ยวกับนมสดพาสเจอร์ไรส์ขาดตลาด เนื่องจากน้ำนมดิบขาดแคลนอย่างต่อเนื่องและโคนมกำลังเข้าสู่ช่วงพักรีดนม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เผยข้อเท็จจริงถึงสถานการณ์การขาดแคลนน้ำนมดิบในประเทศ และแนวทางแก้ไขดังนี้

มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยข้อเท็จจริงปัญหาการน้ำนมดิบขาดตลาดในประเทศ กรณีที่มีการนำเสนอข่าวในโลกโซเชียลโดยเชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหารือ ไม่ว่าจะเป็นกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมปศุสัตว์ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) และผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วม

แจงรายละเอียด! น้ำนมดิบขาดตลาด ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร?

ปัจจุบันผลผลิตน้ำนมดิบทั้งประเทศลดลงอยู่ที่ราว 2,700 ตัน/วัน ซึ่งเป็นไปตามฤดูกาล โดยที่ปริมาณน้ำนมจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในข่วงท้ายปีที่จะเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว จากที่มีความต้องการใช้ไม่น้อยกว่า 3,100 ตัน/วัน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งลดลงประมาณ 400 ตัน

เป็นผลมาจากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมบางส่วนเลิกเลี้ยง หันไปประกอบอาชีพอื่น จึงเป็นเหตุให้ปริมาณโคนมในระบบลดลง และทำให้ปัจจุบันน้ำนมดิบเป็นที่ต้องการของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนมอย่างมาก โดยเรื่องนี้ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหารือทุกภาคส่วน เพื่อไม่ให้กระทบกับปริมาณน้ำนมที่ต้องใช้ในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ที่ต้องใช้วันละประมาณ 1,000 ตัน/วัน

นอกจากนี้ในอนาคตต้องส่งเสริมให้มีการเลี้ยงโคนมมากขึ้น และเร่งส่งเสริมให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมให้เป็น Smart Farmer มีการเลี้ยงโคนมในเชิงธุรกิจให้มากขึ้นด้วย เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเพื่อให้มีความมั่นคงทางอาหาร (น้ำนม) สำหรับคนไทย

เนื้อหาที่น่าสนใจ :

ตัวเลขเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมลดลงจากผลกระทบของโรคโควิด 19 และสถานการณ์ราคาอาหารสัตว์ในตลาดโลกที่สูงขึ้น รวมถึงรูปแบบการเลี้ยงโคนมของเกษตรกรรายย่อยในไทยที่เลี้ยงวัวหลากหลายในฟาร์มของตนเอง ทั้งวัวให้นม วัวไม่ให้นม วัวรุ่น วัวสาว วัวผสมไม่ติด หรือที่เรียกว่าวัวกินฟรี ซึ่งเป็นต้นทุนที่เกษตรกรต้องแบกเพิ่ม ส่งผลต่อรายได้ของฟาร์มที่ลดลง

ดังนั้นในอนาคตจะต้องมีโครงการที่เหมาะสมสำหรับรองรับโคที่ไม่ให้ผลผลิตดังกล่าวมาจัดการในรูปแบบเฉพาะ ภายใต้โครงการช่วยเหลือของรัฐบาล และภาคธุรกิจ ขณะเดียวกันปัญหาอีกส่วนพบว่า มาจากคุณภาพอาหารสัตว์ที่ส่งผลต่อปริมาณน้ำนมดิบ โดยในเรื่องนี้กรมปศุสัตว์ได้เร่งดำเนินการในการพัฒนาอาหารสัตว์คุณภาพและการเพิ่มพื้นที่แปลงหญ้าเพื่อสนับสนุนเกษตรกรรายย่อย

กรมปศุสัตว์รายงานว่า ตามแผนปฏิบัติการด้านโคนมและผลิตภัณฑ์นม มีเป้าหมายที่จะให้ประชาชนบริโภคนมไม่น้อยกว่า 25 ลิตร/คน/ปี ภายในปี 2570 ซึ่งจะต้องเพิ่มปริมาณน้ำนมดิบให้ได้ 4,500 ตัน/วัน จึงเห็นได้ว่ายังเป็นโอกาสที่ดีในการหันมาทบทวนแนวทางในการส่งเสริมอุตสาหกรรมการเลี้ยงโคนมทั้งระบบในประเทศไทย ซึ่งอุตสาหกรรมโคนมของไทยได้รับการยอมรับในภูมิภาคอาเซียน

แจงรายละเอียด! น้ำนมดิบขาดตลาด ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร?

กรมปศุสัตว์รายงานว่า ปัจจุบันมีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมที่ส่งน้ำนมดิบให้กับศูนย์รวบรวมและรับซื้อน้ำนมดิบ ที่มีอยู่ 210 แห่ง ประเทศ จำนวน 16,255 ราย ลดลงจากปีที่ผ่านมาประมาณ 10% และมีจำนวนโคนมทั้งฝูง 618,172 ตัว แยกเป็น จำนวนแม่โครีดนม 261,230 ตัว (ข้อมูลระหว่างเดือน มกราคม – มิถุนายน 2566) จากก่อนหน้าโควิด 19 มีโคนมอยู่ราว 800,000 ตัว โดยปัจจัยสำคัญมาจากราคาต้นทุนอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้น และส่วนมากเป็นเกษตรกรรายย่อยที่แบกรับต้นทุนไม่ไหว

ทั้งนี้ คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม (Milk Board) ได้เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขอปรับราคารับซื้อน้ำนมดิบ ณ โรงงาน ครั้งที่ 1 เสนอขอเพิ่ม 1.50 บาท (จากเดิมราคา 19.00/กิโลกรัม เพิ่มขึ้นเป็น 20.50 บาท/กิโลกรัม) และครั้งที่ 2 เสนอขอเพิ่ม 2.25 บาท เป็น 22.75 บาท/กิโลกรัม ซึ่งจะต้องรอขอความเห็นชอบของ ครม. ในรัฐบาลชุดถัดไป นอกจากนี้ กรมปศุสัตว์ยังได้ขับเคลื่อนโครงการขยายพื้นที่ปลูกพืชอาหารสัตว์ 50,000 ไร่ ซึ่งมีเกษตรกรสนใจเข้าร่วมโครงการ 13,809 ราย พื้นที่ 57,065 ไร่ 

นายสมพร ศรีเมือง ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.)  กล่าวว่าได้ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ส่งนมให้ อ.ส.ค. โดยช่วยเหลือในรูปแบบค่าขนส่ง ในราคา 1.20 บาท/กิโลกรัม จึงทำให้ต้นทุนของ อ.ส.ค. เพิ่มขึ้น ขณะที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ รายงานว่า ปัจจุบันสหกรณ์โคนมทั่วประเทศ ได้ช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์ที่นำนมมาขายในรูปแบบค่าขนส่งเช่นกัน ในราคา 1.20 – 2 บาท/กิโลกรัม อย่างไรก็ตามหาก ครม.อนุมัติการเพิ่มราคารับซื้อน้ำนมดิบตามที่ Milk Board เสนอ ก็จะสามารถช่วยชดเชยในส่วนนี้ได้

 

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ