svasdssvasds

ปฏิวัติอุตสาหกรรม ปฐมบทแห่งภาวะโลกร้อน จากยุคไอน้ำถึงปัจจุบัน

ปฏิวัติอุตสาหกรรม ปฐมบทแห่งภาวะโลกร้อน จากยุคไอน้ำถึงปัจจุบัน

การปฏิวัติอุตสาหกรรมคือปฐมบทภาวะโลกร้อน! การเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลทำให้ CO2 สูงขึ้น เปลี่ยน "ผ้าห่มโลก" ให้หนา และกักความร้อน จนอุณหภูมิพุ่ง ทำลายสมดุลธรรมชาติ

SHORT CUT

  • การปฏิวัติอุตสาหกรรมในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นยุคที่มนุษย์เริ่มใช้เครื่องจักรไอน้ำและเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และแก๊สธรรมชาติ เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและการขนส่ง
  • ปริมาณการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากเชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วโลกได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากแทบเป็นศูนย์ก่อนปี 1750 เป็นกว่า 35 พันล้านตันต่อปีในปัจจุบัน
  • ในอดีต สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และยุโรปเป็นผู้ปล่อยแก๊สหลักและสร้างความมั่งคั่งจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล

การปฏิวัติอุตสาหกรรมคือปฐมบทภาวะโลกร้อน! การเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลทำให้ CO2 สูงขึ้น เปลี่ยน "ผ้าห่มโลก" ให้หนา และกักความร้อน จนอุณหภูมิพุ่ง ทำลายสมดุลธรรมชาติ

ลองจินตนาการว่าโลกของเรามี "ผ้าห่ม" บางๆ ห่อหุ้มอยู่ตลอดเวลา ผ้าห่มผืนนี้ก็คือชั้นบรรยากาศ ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการกักเก็บความอบอุ่นจากดวงอาทิตย์ไว้ ทำให้โลกมีอุณหภูมิที่พอเหมาะพอเจาะสำหรับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่จะอยู่อาศัยได้ เป็นเวลาหลายพันปีที่ผ้าห่มผืนนี้มีความสมดุลที่ลงตัว ไม่หนาเกินไปและไม่บางเกินไป แต่แล้วเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 เมื่อการกระทำของมนุษย์ได้เริ่มเปลี่ยนผ้าห่มผืนนี้ไปตลอดกาล

ปฏิวัติอุตสาหกรรม ปฐมบทแห่งภาวะโลกร้อน จากยุคไอน้ำถึงปัจจุบัน

การปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) เป็นยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความก้าวหน้าอันน่าทึ่ง เครื่องจักรไอน้ำถูกประดิษฐ์ขึ้น โรงงานต่างๆ ก็เริ่มส่งเสียงก้องกังวาน และรถไฟก็แล่นไปทั่วทุกสารทิศด้วยพลังไอน้ำอันเกรียงไกร สิ่งเหล่านี้คือความฉลาดเฉลียวของมนุษย์ แต่ใครจะรู้ว่านวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้จะส่งผลกระทบที่ซับซ้อนและยาวนานเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ ทุกครั้งที่เราเผาถ่านหินเพื่อปั่นเครื่องจักร หรือเผาน้ำมันเพื่อขับเคลื่อนยานพาหนะ เรากำลังเพิ่มวัสดุใหม่ที่ไม่เคยมีอยู่ในระบบธรรมชาติของโลกเข้าไปในชั้นบรรยากาศ นั่นก็คือแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ 

ปฏิวัติอุตสาหกรรม ปฐมบทแห่งภาวะโลกร้อน จากยุคไอน้ำถึงปัจจุบัน

การกระทำที่ดูเหมือนจะเล็กน้อยในระดับแต่ละโรงงานหรือแต่ละเครื่องยนต์ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ส่งผลกระทบทั่วโลก ระบบธรรมชาติของโลก เช่น มหาสมุทรและป่าไม้ สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ได้ แต่ขนาดและความเร็วของการเพิ่มแก๊สเรือนกระจกในครั้งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์โลก

สิ่งนี้เปรียบเสมือนผลกระทบจากผีเสื้อขยับปีกในระดับดาวเคราะห์ การขยับปีกครั้งแรกที่ดูเล็กน้อย (เครื่องจักรไอน้ำเครื่องแรก) ได้กลายเป็นพายุที่ทรงพลังและเร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว (อัตราการปล่อยแก๊สและอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน) ยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลในทันที 

ปฏิวัติอุตสาหกรรม ปฐมบทแห่งภาวะโลกร้อน จากยุคไอน้ำถึงปัจจุบัน

การปล่อยแก๊สที่เกิดขึ้นในอดีตหลายสิบปีที่ผ่านมาจึงกำลังส่งผลกระทบอย่างเต็มที่ในปัจจุบัน

โลกในยุคก่อนมีควันไฟ...เมื่อบรรยากาศยังสมดุล

ก่อนที่จะมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 โลกของเราดำรงอยู่ในสภาวะที่สมดุลทางธรรมชาติอันน่าทึ่ง หากเรามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์อันยาวนานของโลก เราจะพบว่าแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศไม่ได้อยู่ในระดับที่คงที่ แต่แกว่งตัวอยู่ในช่วงที่ค่อนข้างจำกัดและเป็นไปตามวัฏจักรธรรมชาติมาเป็นเวลานาน

จุดกำเนิดแห่งยุคคาร์บอน...พลังงานจากใต้ดิน

ก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม มนุษย์พึ่งพาพลังงานจากแหล่งธรรมชาติเป็นหลัก เช่น ฟืนและถ่านไม้ แต่ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อมีการค้นพบและใช้งานพลังงานที่เข้มข้นมหาศาลซึ่งถูกกักเก็บไว้ใต้ดินมานับล้านปี นั่นก็คือเชื้อเพลิงฟอสซิล 

การประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญอย่างยิ่ง การค้นพบนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของนวัตกรรมชิ้นเดียว แต่เป็นการเปลี่ยนระบบทั้งหมดของการผลิต การขนส่ง และวิถีชีวิตประจำวันของมนุษย์ไปสู่แหล่งพลังงานใหม่ที่ปล่อยคาร์บอนสูง

ในตอนแรก การเติบโตของการปล่อยแก๊สยังคงเป็นไปอย่างช้าๆ การใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงเริ่มต้นในสหราชอาณาจักรซึ่งเป็นประเทศอุตสาหกรรมแห่งแรกของโลก ในปี 1751 การปล่อยแก๊สทั่วโลกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลมีปริมาณน้อยกว่า 10 ล้านตัน ซึ่งน้อยกว่าปริมาณการปล่อยในปัจจุบันถึง 3,600 เท่า 

ในช่วงแรก การใช้ถ่านหินขับเคลื่อนอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ความร้อนสูง เช่น การผลิตเหล็กและเหล็กกล้า และในเวลาต่อมาก็มีการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น แก้ว เซรามิก และสิ่งทอ

การเติบโตของการปล่อยแก๊สที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นไปตามเส้นตรง แต่เป็นวงจรการเติบโตที่เสริมกันเอง การใช้ถ่านหินในเครื่องจักรไอน้ำ ช่วยให้การผลิตในอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าขยายตัวอย่างมหาศาล และเหล็กที่ผลิตได้ก็ถูกนำไปใช้สร้างเครื่องจักรและเทคโนโลยีใหม่ๆ มากขึ้นไปอีก  เช่น รถไฟ 

ทำให้เกิดวงจรที่หมุนวนอย่างต่อเนื่อง นั่นคือ ยิ่งมีเทคโนโลยีมากขึ้นก็ยิ่งต้องการพลังงานมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การปล่อยแก๊สที่มากขึ้น และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวทางเทคโนโลยีต่อไปอีก เรื่องราวนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของนวัตกรรมหนึ่งชิ้น แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบที่ได้รับแรงขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องและทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

ปฏิวัติอุตสาหกรรม ปฐมบทแห่งภาวะโลกร้อน จากยุคไอน้ำถึงปัจจุบัน

ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 การเปลี่ยนผ่านจากถ่านหินไปสู่น้ำมันและแก๊สธรรมชาติก็ยิ่งทำให้อัตราการปล่อยแก๊สเพิ่มขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการขนส่งที่ความต้องการเชื้อเพลิงเหลวพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว วัฏจักรการบริโภคพลังงานนี้ได้สร้างแรงผลักดันมหาศาลให้กับระบบเศรษฐกิจโลก ทำให้การปล่อยแก๊สเรือนกระจกกลายเป็นผลพวงที่มาพร้อมกับความเจริญก้าวหน้าอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ตัวเลขที่ไม่มีวันโกหก การเปรียบเทียบที่เห็นภาพชัดเจน

ตัวเลขคือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดของการเปลี่ยนแปลงที่โลกของเรากำลังเผชิญอยู่ การเปรียบเทียบข้อมูลจากก่อนและหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้เราเห็นภาพที่น่าตกใจของผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

ก่อนปี 1750 การปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากเชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วโลกแทบจะเป็นศูนย์ แต่หลังจากนั้นตัวเลขก็เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด ในปี 1950 ทั่วโลกปล่อยแก๊สแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ประมาณ 6 พันล้านตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่าเป็นกว่า 20 พันล้านตันในปี 1990 และปัจจุบันเราปล่อยแก๊สกว่า 35 พันล้านตัน หรือประมาณ 37.4 พันล้านตันต่อปี  ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 4,000 เท่าเมื่อเทียบกับตัวเลขในปี 1750

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของการปล่อยแก๊สในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 มีความเกี่ยวพันโดยตรงกับยุคเศรษฐกิจรุ่งเรืองหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งมีการบริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ในช่วงเวลานี้ ยุโรปและสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ปล่อยแก๊สหลักของโลก โดยมีสัดส่วนการปล่อยมากกว่า 90% ในปี 1900 และมากกว่า 85% ในปี 1950 ยุคหลังสงครามนี้เป็นช่วงเวลาที่การปล่อยแก๊สเร่งตัวอย่างเห็นได้ชัด ด้วยการขยายตัวของภาคการผลิต การขนส่ง และการใช้พลังงานที่มาจากน้ำมันและแก๊สเป็นหลัก สิ่งนี้ทำให้มนุษย์กลายเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สังเกตเห็นได้ตั้งแต่ช่วงปี 1950 เป็นต้นมา

ปฏิวัติอุตสาหกรรม ปฐมบทแห่งภาวะโลกร้อน จากยุคไอน้ำถึงปัจจุบัน

ปริมาณคาร์บอนสู่ภาวะโลกร้อน วิกฤตผ้าห่มที่หนาขึ้น

ปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นในบรรยากาศส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุณหภูมิโลกผ่านปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "ปรากฏการณ์เรือนกระจก" กลับไปที่ผ้าห่มของเรา แก๊สเรือนกระจกเหล่านี้ ทำหน้าที่เหมือนผ้าห่มที่หนาขึ้น มันปล่อยให้รังสีจากดวงอาทิตย์ส่องลงมายังพื้นผิวโลก แต่ก็กักเก็บความร้อนที่แผ่ออกมาจากพื้นผิวโลกไว้ไม่ให้ระบายออกไปในอวกาศได้ทั้งหมด ยิ่งผ้าห่มหนาขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเก็บความร้อนไว้ได้มากขึ้นเท่านั้น ส่งผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น

ทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ยุคก่อนอุตสาหกรรมจนถึงปัจจุบัน อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกได้เพิ่มขึ้นไปแล้วประมาณ 1.1°C ถึง 1.6°C ตัวเลขที่ดูเล็กน้อยนี้อาจทำให้หลายคนประเมินความรุนแรงต่ำเกินไป แต่ในความเป็นจริงแล้วมันบ่งชี้ถึงปริมาณพลังงานความร้อนมหาศาลที่ถูกกักเก็บไว้ในระบบโลกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในมหาสมุทรหรือบนพื้นดิน

ในปี 2024 เป็นปีแรกที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นเกิน 1.5°C เหนือระดับก่อนอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นค่าเป้าหมายสำคัญในความตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดความเสี่ยงจากผลกระทบที่รุนแรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้ว่าการที่อุณหภูมิเกิน 1.5°C ในปีเดียวจะไม่ได้หมายความว่าเป้าหมายได้ล้มเหลวโดยสมบูรณ์ แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญว่าแนวโน้มในระยะยาวกำลังเร่งตัวขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง และมีโอกาสสูงมากที่อุณหภูมิเฉลี่ยในระยะยาวจะเกินค่า 1.5°C ในทศวรรษหน้า

ปฏิวัติอุตสาหกรรม ปฐมบทแห่งภาวะโลกร้อน จากยุคไอน้ำถึงปัจจุบัน

ใครคือผู้ปล่อยก๊าซ...ความรับผิดชอบที่เปลี่ยนไป

การทำความเข้าใจเรื่องการปล่อยแก๊สคาร์บอนไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของตัวเลขปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงบริบททางประวัติศาสตร์ด้วย เรื่องราวการปล่อยแก๊สเริ่มต้นที่สหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นประเทศอุตสาหกรรมแรกและเป็นผู้ปล่อยแก๊สรายใหญ่ที่สุดของโลกจนกระทั่งปี 1888 หลังจากนั้นสหรัฐอเมริกาและยุโรปก็เข้ามาเป็นผู้ครองอำนาจทางเศรษฐกิจและการปล่อยแก๊ส โดยมีสัดส่วนการปล่อยทั่วโลกมากถึงกว่า 90% ในปี 1900 และกว่า 85% ในปี 1950

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าทึ่ง ปัจจุบันสหรัฐฯ และยุโรปมีสัดส่วนการปล่อยแก๊สไม่ถึงหนึ่งในสามของทั้งหมด ในขณะที่เอเชีย โดยเฉพาะจีน ได้กลายเป็นผู้ปล่อยแก๊สรายใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน

นี่นำไปสู่การพิจารณาที่ละเอียดอ่อนเกี่ยวกับ "ความรับผิดชอบ" ที่แตกต่างกันระหว่าง "การปล่อยแก๊สรายปี" (Annual Emissions) และ "การปล่อยแก๊สสะสม" (Cumulative Emissions) แม้ว่าจีนจะเป็นผู้ปล่อยแก๊สรายใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน แต่ในมุมมองของการปล่อยแก๊สสะสมทั้งหมดตั้งแต่ปี 1751 เป็นต้นมา สหรัฐอเมริกายังคงเป็นผู้มีส่วนร่วมมากที่สุด โดยมีสัดส่วนเกือบหนึ่งในสี่ของปริมาณการปล่อยแก๊สสะสมในประวัติศาสตร์ทั้งหมด ซึ่งมากกว่าของจีนถึงกว่า 1.5 เท่า  ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากในปัจจุบัน (เช่น อินเดียและบราซิล) ที่มีการปล่อยแก๊สในแต่ละปีเพิ่มขึ้น แต่มีสัดส่วนการปล่อยสะสมในอดีตไม่มากนัก

ปฏิวัติอุตสาหกรรม ปฐมบทแห่งภาวะโลกร้อน จากยุคไอน้ำถึงปัจจุบัน

ความแตกต่างนี้สร้างความตึงเครียดและคำถามเกี่ยวกับความยุติธรรมทางสภาพอากาศ ประเทศที่สร้างความมั่งคั่งและอำนาจทางอุตสาหกรรมจากเชื้อเพลิงฟอสซิลในอดีต (สหรัฐฯ และยุโรป) กำลังเรียกร้องให้ประเทศกำลังพัฒนาชะลอการปล่อยแก๊ส ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและโอกาสในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรจำนวนมหาศาล ตัวเลขเหล่านี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของวิทยาศาสตร์ แต่ยังเป็นเรื่องของจริยธรรม ประวัติศาสตร์ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่กำลังบังคับให้โลกต้องหาทางออกร่วมกันว่าใครควรรับผิดชอบมากที่สุดในการแก้ไขปัญหานี้ ทั้งในแง่ของอดีตและปัจจุบัน

เรื่องราวของการปฏิวัติอุตสาหกรรมและภาวะโลกร้อนที่เล่ามาทั้งหมดนี้คือการเดินทางจากอดีตที่สมดุล สู่ยุคสมัยที่การค้นพบนวัตกรรมทางเทคโนโลยีกลายเป็นการทดลองครั้งใหญ่ที่สุดในระดับดาวเคราะห์ และตัวเลขที่ชัดเจนและไม่มีข้อโต้แย้งก็ยืนยันว่าการทดลองนี้ได้เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของชั้นบรรยากาศของเราอย่างถอนรากถอนโคน

ปฏิวัติอุตสาหกรรม ปฐมบทแห่งภาวะโลกร้อน จากยุคไอน้ำถึงปัจจุบัน

เราได้เห็นการพุ่งขึ้นของปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ในขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องท้าทายที่เราเผชิญอยู่ นวัตกรรมและความเฉลียวฉลาดที่ช่วยให้มนุษย์สร้างการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอดีตคือสิ่งเดียวกันที่เราสามารถนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหานี้ได้ อนาคตของเราขึ้นอยู่กับว่าเราจะสามารถเขียนบทใหม่ของเรื่องราวนี้ได้หรือไม่ จาก "ปฐมบทแห่งยุคคาร์บอน" ไปสู่ "ยุคแห่งทางออก" เพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป

อ้างอิง

EPA / BGS / ClimateChange / UGC / EBSCO / EnergyHistory / Climate / Earth / USGS / SVS / GOV / EPA / GML / WeForum / BerkeLey / Copern / Research / OurWorld / WeForum / Visual / Nasa / Co2 / UN / UN1 / Data / WOC / 

related