ภาวะโลกร้อนไม่ใช่ปัญหาในอนาคตอีกต่อไป แต่โลกได้เดินทางมาแตะจุดที่อันตรายแล้ว พาท่องงาน Sustainability Expo 2025 และสรุป 4 ประเด็นสำคัญที่คุณควรรู้
ครั้งหนึ่ง ภัยพิบัติจากภาวะโลกร้อนเคยเป็นเหมือนเรื่องไกลตัวที่อยู่ในหน้ากระดาษของอนาคต แต่ตอนนี้ พายุที่โหมกระหน่ำ น้ำท่วมที่รุนแรง คลื่นความร้อนที่ยืดยาว และภัยแล้งที่คาดเดาไม่ได้ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ "ความปกติใหม่" ของโลกไปแล้ว
ในงาน Sustainability Expo 2025 ที่จัดขึ้นเร็ว ๆ นี้ ได้มีการจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ From Climate Change to Disaster ที่นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้มาร่วมกันสะท้อนความจริงอันน่าตกใจ
โดยคุณปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เปิดประเด็นด้วยการชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยติดอันดับ 9 ของโลกที่มีความเสี่ยงสูงจากภาวะโลกร้อน จากรายงานของ Global Climate Risk Index เนื่องจากเรามีชายฝั่งทะเลยาวกว่า 3,200 กิโลเมตร ที่พร้อมจะรับแรงปะทะจากพายุและระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น
คุณปวิชย้ำว่า "ภัยพิบัติครั้งเดียว สามารถเขย่าเศรษฐกิจทั้งประเทศได้" เหมือนกับเหตุการณ์มหาอุทกภัยในปี 2554 ที่สร้างความเสียหายกว่า 1.44 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 10% ของ GDP ประเทศ ทำให้โรงงานกว่าหมื่นแห่งต้องหยุดการผลิต และส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกทันที
ศ.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล จาก BiOST เตือนว่า โลกกำลังใกล้แตะเพดาน 2 องศาเซลเซียส ที่เคยตกลงไว้ใน Paris Agreement ซึ่งนั่นคือ Tipping Point หรือจุดพลิกผันที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีกต่อไป
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศไม่ได้ส่งผลแค่ภัยพิบัติเดียวจบ แต่กำลังนำไปสู่ "หายนะแบบลูกโซ่" ยกตัวอย่างเช่น ภัยแล้งที่ทำให้ป่าแห้งกลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีของไฟป่า เมื่อไฟป่าเกิดขึ้น มันก็ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมหาศาลออกมา ทำให้โลกร้อนขึ้นไปอีก หรือกรณีที่น้ำแข็งขั้วโลกละลายไม่เพียงแต่จะทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น แต่ยังอาจปลุกเชื้อโรคโบราณที่ถูกแช่แข็งในชั้น Permafrost ให้กลับมาระบาด ทำให้เกิดโรคอุบัติใหม่ที่มนุษย์ไม่เคยมีภูมิคุ้มกัน
ข้อมูลที่น่าตกใจอีกประการคือ กรุงเทพฯ และสมุทรปราการ ซึ่งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียง 1.5 เมตร อาจกลายเป็น "เมืองจมน้ำ" ภายในศตวรรษนี้ หากระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น 1 เมตรในปี 2050 และอาจสูงถึง 2.5 เมตรในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ซึ่งธนาคารโลกได้จัดให้กรุงเทพฯ อยู่ใน 10 อันดับเมืองใหญ่ที่เสี่ยงน้ำท่วมสูงสุด หากเราไม่มีมาตรการป้องกันที่จริงจัง
ศ.ดร.พิสุทธิ์ ชี้ว่าถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุกคนต้องมี "Climate Literacy" หรือความรู้เรื่องสภาพภูมิอากาศ เพราะไม่ใช่แค่หน้าที่ของนักวิจัยหรือรัฐอีกต่อไป แม้แต่แม่ค้าขายไก่ย่างก็จำเป็นต้องรู้ว่าโลกที่ร้อนขึ้นจาก 1.5 เป็น 2 องศาเซลเซียส หมายถึงอะไร เพราะถ้าไม่เข้าใจก็อาจคิดว่าเป็นแค่เรื่องธรรมชาติทั่วไป ทั้งที่หลายพื้นที่อาจกำลังเข้าสู่ "จุดที่ไม่อาจย้อนกลับ" ไปแล้ว
ดร.กรรณิการ์ เฉิน รองผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ได้อธิบายถึงผลกระทบโดยตรงต่อ ความมั่นคงทางอาหาร โดยเฉพาะพืชผลทางการเกษตรที่ไม่สามารถเติบโตได้ในพื้นที่เดิม เพราะฝนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง และปัญหาผึ้งที่ลดจำนวนลงอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการผสมเกสรของพืชอาหารกว่า 70% ทั่วโลก
สำหรับประเทศไทย แม้จะมีการใช้งบประมาณมหาศาลเพื่อชดเชยความเสียหายจากภัยพิบัติ แต่การลงทุนเชิงป้องกันยังไม่เพียงพอ หากรัฐบาลเปลี่ยนมาลงทุนในนวัตกรรม การวางผังเมืองใหม่ หรือโครงสร้างพื้นฐานที่อิงธรรมชาติ (Nature-based Solutions) จะไม่เพียงช่วยลดความเสียหายทางเศรษฐกิจ แต่ยังสร้างความยืดหยุ่นให้สังคมไทยพร้อมรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
แม้จะมีการประชุม COP กว่า 30 ครั้ง แต่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกก็ยังไม่ลดลง ประเทศที่พัฒนาแล้วยังคงสร้างความมั่งคั่งด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิล ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาซึ่งไม่ได้สร้างปัญหาโลกร้อนกลับไม่ได้รับการชดเชยอย่างเป็นธรรม
บทสรุปจากเวทีนี้จึงชัดเจนว่า ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม คำถามสำคัญคือ เราจะเลือกอยู่กับมันอย่างไร โลกในอีก 20-30 ปีข้างหน้าอาจเต็มไปด้วยหายนะที่คาดไม่ถึง แต่หากมนุษย์เลือกที่จะร่วมมือกันอย่างแท้จริง และสร้างความยืดหยุ่น เราอาจมีเวลามากขึ้นในการปรับตัวและรักษาพื้นที่ปลอดภัยสำหรับคนรุ่นถัดไป
อย่าลืมมาร่วมกันหาทางรอดในวิกฤตโลกรวนได้ที่งาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 5 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง