
SHORT CUT
รวมถอดบทเรียนจากต่างประเทศ เกี่ยวกับวิธีช่วยเหลือผู้คนรับมือกับการสูญเสียและสร้างความยืดหยุ่น เมื่อเจอกับเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่ , เมื่อไทยเจอกับน้ำท่วมหาดใหญ่ น้ำท่วมภาคใต้ เราทำอะไรกันได้บ้าง ?
น้ำท่วม กลายเป็นภัยคุกคามที่รุนแรงและถี่ขึ้นทั่วโลก คำถามสำคัญที่เราต้องขบคิดในวันนี้ไม่ใช่เพียงแค่ "เราจะกู้ภัยอย่างไร" แต่คือ "เราจะฟื้นฟูอย่างไรไม่ให้ซ้ำรอยเดิม"
จากการติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติมากว่า 20 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่ามีพลวัตที่น่าสนใจในต่างประเทศ โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านแนวคิดจากการเร่งซ่อมแซมให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม (Restoration) สู่การ "สร้างใหม่ให้ดีกว่าเดิม" (Building Back Better - BBB) และการสร้าง ความยืดหยุ่น (Resilience) ให้กับเมืองและผู้คน นี่คือบทสรุปของโมเดลการจัดการจากทั่วโลกที่น่าจับตามอง
1. กับดักของ "ความเร็ว" และบทบาทของรัฐ (บทเรียนจากเยอรมนี)
หากมองผิวเผิน การฟื้นฟูหลังน้ำท่วมใหญ่ของเยอรมนีในปี 2013 ถือเป็น "ความสำเร็จที่น่าทึ่ง" ด้วยงบประมาณรัฐกว่า 8 พันล้านยูโร และพลังอาสาสมัครกว่า 1.7 ล้านคน เมืองพัสเซา (Passau) ฟื้นตัวได้ในเวลาไม่ถึง 2 ปี ภาคเอกชนซ่อมแซมเสร็จสิ้นเกือบทั้งหมดภายใน 5 ปี
แต่ในความรวดเร็วนั้น ซ่อน "บทเรียนราคาแพง" ไว้ รัฐบาลเยอรมันพบว่า การที่รัฐอัดฉีดเงินช่วยเหลือแทบจะ 100% (Moral Hazard) กลับกลายเป็นดาบสองคมที่ "ยับยั้ง" ไม่ให้ประชาชนซื้อประกันภัย หรือปรับปรุงบ้านให้ทนน้ำ เพราะทุกคนเชื่อว่า "เดี๋ยวรัฐก็จ่าย"
จุดเปลี่ยนสำคัญ: ปัจจุบัน เยอรมนี (โดยเฉพาะรัฐบาวาเรีย) เริ่มส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะ "งดเว้นความช่วยเหลือฉุกเฉิน" แก่ผู้ที่สามารถซื้อประกันภัยได้แต่ไม่ซื้อ เพื่อบีบให้เกิดการกระจายความเสี่ยง และกระตุ้นให้ประชาชนตระหนักถึงความรับผิดชอบส่วนบุคคลมากขึ้น
2. วิศวกรรมสู้ภัย: การลงทุนที่คุ้มค่ากว่าการเยียวยา
ในประเทศพัฒนาแล้ว การฟื้นฟูไม่ได้หมายถึงการทาสีบ้านใหม่ แต่คือการ "ยกเครื่องโครงสร้างพื้นฐาน" ครั้งใหญ่เพื่ออนาคต โดยยึดหลักการคืนพื้นที่ให้น้ำและการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ
เนเธอร์แลนด์: กับโครงการ "Room for the River" ที่เปลี่ยนแนวคิดจากการสร้างเขื่อนกั้นน้ำสูงๆ มาเป็นการขยายพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำ เพื่อให้น้ำมีที่อยู่ ลดความรุนแรงของกระแสน้ำ
ญี่ปุ่น: ลงทุนมหาศาลกับ "G-Cans" อุโมงค์ระบายน้ำยักษ์ใต้ดินนอกกรุงโตเกียว มูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์ แม้จะดูแพง แต่พิสูจน์แล้วว่าลดความเสียหายทางเศรษฐกิจได้นับหมื่นล้านดอลลาร์
จีน: โมเดล "Sponge City" หรือเมืองฟองน้ำ เปลี่ยนเมืองคอนกรีตให้ดูดซับน้ำได้เหมือนฟองน้ำ เลียนแบบวัฏจักรธรรมชาติ
3. สมการการเงินใหม่: หนึ่งดอลลาร์แลกหกดอลลาร์
สหรัฐอเมริกาและชาติตะวันตกกำลังผลักดัน "คณิตศาสตร์แห่งภัยพิบัติ" ชุดใหม่ ข้อมูลจากโครงการประกันภัยน้ำท่วมแห่งชาติ (NFIP) ของสหรัฐฯ ชี้ชัดว่า "เงิน 1 ดอลลาร์ที่ลงทุนในการป้องกันและบรรเทาผลกระทบล่วงหน้า จะช่วยประหยัดงบเยียวยาความเสียหายได้ถึง 6 ดอลลาร์"
นี่คือเหตุผลที่โมเดลการเงินโลกกำลังเปลี่ยนจากการ "ตั้งรับแล้วจ่าย" (Post-disaster relief) เป็นการ "ลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง" (Pre-disaster investment) และผลักดันระบบประกันภัยให้เป็นเสาหลักแทนงบประมาณแผ่นดิน
4. พลังของ "คนตัวเล็ก" และนวัตกรรมราคาถูก
ในขณะที่โลกตะวันตกใช้วิศวกรรมราคาสูง ประเทศกำลังพัฒนาได้พิสูจน์ให้เห็นว่า "ความยืดหยุ่น" ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลเสมอไป แต่ใช้ "ภูมิปัญญาและการมีส่วนร่วม"
บังกลาเทศ: สร้างบ้านยกพื้นสูงต้นทุนต่ำ (เพียง $500-$1,000) และระบบแจ้งเตือนภัยผ่าน SMS ล่วงหน้า 5-6 วัน ช่วยลดการอพยพได้มหาศาล
นิวซีแลนด์: บูรณาการวัฒนธรรมท้องถิ่น (ชาวเมารี) เข้ากับแผนอพยพ ทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ ลดเวลาหนีภัยได้ถึง 25%
ไนจีเรีย & อินเดีย: ชุมชนคือฮีโร่ การฟื้นฟูที่นำโดยกลุ่มแม่บ้านหรือองค์กรศาสนา ที่ใช้วัสดุท้องถิ่นและซ่อมแซมจิตใจไปพร้อมกัน มีความยั่งยืนกว่าการรอกลไกรัฐที่ล่าช้า
การฟื้นฟูจากเหตุน้ำท่วม ที่แท้จริงคืออะไร?
การฟื้นฟูหลังเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่ ที่ประสบความสำเร็จ ต้องประกอบด้วยสมดุลของ 3 สิ่ง :
การฟื้นฟูหลังน้ำท่วมในยุคสมัยใหม่ จึงไม่ใช่แค่การล้างโคลนออกจากบ้าน
แต่คือการ "ล้างระบบเดิมที่เปราะบาง" แล้ววางรากฐานใหม่ เพื่อให้เมื่อพายุลูกต่อไปมาถึง (ซึ่งมันจะมาแน่) เราจะยืนหยัดได้อย่างมั่นคงกว่าเดิม
ที่มา : dp2025.deltaprogramma tdri.or.th council.science unesco axaxl
ข่าวที่เกี่ยวข้อง