
ผลงานวิจัยใหม่เผยเด็ก ๆ ชาวอินเดียในพื้นที่มลพิษมีคะแนนไอคิว (IQ) น้อยกว่าเพื่อนในพื้นที่อากาศสะอาดเกือบ 20 จุด ชี้มลพิษทางอากาศกระทบพัฒนาการทางสติปัญญา
รายงานการศึกษา 2 ฉบับที่นำเสนอในงานประชุม World Conference on Lung Health (WCLH) ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศเดนมาร์ก เมื่อไม่นานมานี้ แสดงให้เห็นว่า มลพิษทางอากาศไม่เพียงแต่กระทบต่อสุขภาพปอดเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อพัฒนาการของสมองในเด็ก
งานวิจัยชิ้นหนึ่งจากอินเดีย พบว่า เด็กที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษสูงมีค่าคะแนนที่ใช้วัดระดับความฉลาดทางสติปัญญาหรือไอคิว (Intelligence Quotient : IQ) ต่ำกว่าเด็กที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่อากาศสะอาดกว่าเกือบ 20 จุด ซึ่งจำกัดศักยภาพด้านการศึกษาและโอกาสในชีวิตของเด็ก ๆ ในทันที
ผลการวิจัยเหล่านี้เน้นย้ำว่า มลพิษทางอากาศไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระดับโลกที่คุกคามอนาคตของเด็กและทำให้อาการของโรคปอดที่เป็นอยู่รุนแรงขึ้นอย่างมาก
คุณภาพอากาศทำให้ IQ เด็กต่ำลง
ผลการศึกษาใหม่จากสถาบันเทคโนโลยีอุตสาหกรรมคาลิงกา (Kalinga Institute of Industrial Technology - KIIT) ในอินเดีย พบว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างฝุ่นละอองในอากาศกับความสามารถทางสติปัญญาอย่างมีนัยสำคัญ และชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่สำคัญและใกล้ชิดระหว่างพัฒนาการทางไอคิวของเด็กกับการสัมผัสกับมลพิษทางอากาศภายนอกอาคารในระยะยาว
ผลการศึกษาที่ได้รับการตีพิมพ์ในบทคัดย่อของ WCLH ได้ตรวจสอบผลกระทบของฝุ่นละออง PM2.5 และ PM10 ต่อพัฒนาการทางสถิติปัญญาของเด็กอายุ 6 – 8 ปีในรัฐโอริสสา ทางตะวันออกของอินเดีย แม้ว่าผลกระทบของมลพิษทางอากาศต่อสุขภาพปอด ระบบหัวใจและหลอดเลือด จะมีการจัดเก็บข้อมูลเป็นอย่างดีและเป็นที่รู้ทั่วกันแล้ว แต่งานวิจัยชิ้นนี้ถือเป็นหนึ่งในงานวิจัยชิ้นแรก ๆ ที่ศึกษาถึงศักยภาพของมลพิษที่จะรบกวนพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กโดยตรง
เพื่อจัดทำการศึกษาเชิงวิเคราะห์เปรียบเทียบ ทีมนักวิจัยได้เปรียบเทียบพื้นที่ 2 แห่งระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนธันวาคม ปี 2022 โดยพื้นที่หนึ่งมีระดับมลพิษทางอากาศสูง ระดับ PM10 สูงกว่า 60 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และ PM2.5 สูงกว่า 40 ไมโครกรัม ส่วนพื้นที่อีกแห่งมีระดับมลพิษต่ำ จากนั้น เด็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ในระยะรัศมี 1.5 กิโลเมตร จากสถานีตรวจคุณภาพอากาศ มาเป็นเวลา 6 ปี จะได้รับการทดสอบโดยใช้แบบประเมินเชาวน์ปัญญาของมาลินสำหรับเด็กชาวอินเดีย (Malin’s Intelligence Scale for Indian Children) ซึ่งวัดระดับไอคิวรวม ไอคิวด้านภาษา และไอคิวทางด้านปฏิบัติ ผลลัพธ์มีความแตกต่างอย่างชัดเจน
โดยไอคิวรวมเฉลี่ยของเด็กในพื้นที่มลพิษสูงอยู่ที่ 80.33 เทียบกับ 98.12 ในพื้นที่ที่มีมลพิษต่ำ นอกจากนี้ เด็กในพื้นที่มลพิษสูง ยังมีไอคิวด้านภาษา 81.60 เทียบกับเพื่อนในพื้นที่อากาศดี 99.68 และไอคิวทางด้านปฏิบัติ 79.02 เทียบกับ 96.55 ในพื้นที่ที่สะอาดกว่า
ผู้เขียนสรุปว่า การสัมผัสกับมลพิษทางอากาศในระยะยาวมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับพัฒนาการทางสติปัญญาที่แย่ลงในเด็ก รายงานยังชี้ให้เห็นว่า อายุและน้ำหนักของเด็ก การระบายอากาศในห้องครัวที่ไม่ดีและรายได้ของครอบครัว ล้วนส่งผลกระทบต่อไอคิวรวมของเด็กด้วย ซึ่งฉายให้เห็นภาพของปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่ทำงานร่วมกัน
อาการหอบหืดกำเริบพุ่งสูงในแอฟริกาตะวันตก
ผลการวิจัยใหม่อีกฉบับจาก Centre Hospitalier et Universitaire de Pneumo-Phtisiologie (CNHUPPC) ในเมืองโกโตนู ประเทศเบนิน ในแอฟริกาตะวันตก โดยพบความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างมลพิษทางอากาศกับความรุนแรงของอาการโรคหอบหืดในวัยรุ่น
ในเมืองโกโตนู ซึ่งระดับมลพิษทางอากาศเกินมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในทุกประเภท นักวิจัยได้ติดตามกลุ่มวัยรุ่นที่เป็นโรคหอบหืด จำนวน 730 คน เป็นเวลา 36 เดือน และผลการศึกษาพบว่า ราว 37 เปอร์เซ็นต์ของวัยรุ่นกลุ่มนี้เคยมีอาการทางเดินหายใจหรืออาการหอบหืดกำเริบอย่างน้อย 1 ครั้ง
ทีมนักวิจัยใช้วิธีการวัดการสัมผัสของแต่ละบุคคลผ่านเซ็นเซอร์คุณภาพอากาศแบบพกพาที่ใส่ในกระเป๋าเป้ และเซ็นเซอร์แบบติดตั้งถาวรในโรงเรียนและบ้าน โดยพบว่าวัยรุ่นที่มีอาการทางเดินหายใจผิดปกติบ่อยครั้งมีการสัมผัสกับสารมลพิษหลายชนิดในระดับที่สูงกว่า รวมถึง ไนโตรเจนไดออกไซด์ ฝุ่น PM1 ฝุ่น PM2.5 และ PM10
งานวิจัยยังตั้งข้อสังเกตว่า อาการหอบหืดกำเริบเกิดขึ้นบ่อยครั้งถึง 2.5 เท่าในช่วงฤดูฮาร์มัตตันตามฤดูกาล ซึ่งเป็นช่วงที่ลมเย็น อากาศแห้งและมีฝุ่นพัดผ่าน ระหว่างเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคม ซึ่งเน้นย้ำถึงผลกระทบที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ
เครื่องฟอกอากาศในโรงเรียน
ศาสตราจารย์อานันท์ สุดาร์ชาน (Professor Anant Sudarshan) จากมหาวิทยาลัยวอร์ริกในสหราชอาณาจักร เสนอแนวทางแก้ไขที่จับต้องได้เพื่อบรรเทาการสัมผัสกับมลพิษทางอากาศ โดยสนับสนุนการแทรกแซงแบบกำหนดเป้าหมายในโรงเรียน โดยเฉพาะสำหรับชุมชนที่มีรายได้น้อย
“การติดตั้งเครื่องฟอกอากาศที่มีขนาดเหมาะสมในโรงเรียนของรัฐทุกแห่งอาจเป็นนโยบายที่ดี ๆ เด็ก ๆ ใช้เวลาในห้องเรียนเป็นจำนวนมาก การลดการสัมผัสกับมลพิษใด ๆ ก็สามารถนำมาซึ่งผลประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากได้ สิ่งนี้สำคัญที่สุดสำหรับผู้มีรายได้น้อยที่ไม่สามารถซื้อเครื่องฟอกอากาศที่บ้านได้ หรือผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้กับการจราจรหรือโรงงานอุตสาหกรรม”
ศาสตราจารย์รายนี้อธิบายว่า เด็ก ๆ ใช้เวลาประมาณ 1 ใน 3 ของวันอยู่ที่โรงเรียน และประมาณ 2 ใน 3 ของปี ซึ่งเท่ากับประมาณ 17 เปอร์เซ็นต์ของชีวิต ดังนั้น การทำให้อากาศในโรงเรียนสะอาดเพียงอย่างเดียว อาจลดการสัมผัสกับมลพิษประจำปีของเด็กได้ประมาณ 17 เปอร์เซ็นต์
การลดลงนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากฝุ่น PM2.5 มีผลกระทบต่อพฤติกรรมการรับรู้และประสิทธิภาพการทำงานคล้ายกับการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ส่งผลกระทบทั้งต่อความตื่นตัวในระยะสั้นและการพัฒนาในระยะยาว
สำหรับผู้กำหนดนโยบายที่กำลังรับมือกับวิกฤตนี้ หลักฐานชี้ชัดแล้วว่า การต่อสู้เพื่อปกป้องสุขภาพปอดต้องผนวกการดำเนินการที่รวดเร็วและแข็งแกร่ง เพื่อปกป้องศักยภาพทางสติปัญญา อนาคตและโอกาสตลอดชีวิตของเด็กทั่วโลกด้วย
ที่มา: Health Policy Watch